เล่าเรื่องราวของวัฒนธรรม และธรรมเนียมการจุ๊บ หรือการจูบกัน ในแต่ละพื้นที่มีความหมายอย่างไรซ่อนอยู่ การกระทำเหล่านี้ต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งแค่ไหน และแสดงออกอย่างไรจึงจะเหมาะสม
จากกระแสดราม่าที่เป็นหัวข้อใหญ่ และเกิดการถกเถียงกันอย่างมากมายในโลกโซเชียลของ เบียร์ เดอะวอยซ์ ว่าด้วยเรื่องของ ‘การจุ๊บ และการจูบ’ กัน ซึ่งการกระทำนี้เป็นหนึ่งในธรรมเนียม การแสดงออกถึง “ความรัก” ที่มีความน่าสนใจในการหยิบยกมาพูดคุยกันในวันนี้
เริ่มต้นด้วยเรื่องของการแสดงความรักไม่ว่าจะเป็นการจุ๊บ การจูบ การกอด หรือการหอม เดิมทีการกระทำเหล่านี้มีล้วนมีรากฐาน พื้นเพประวัติศาสตร์ ธรรมชาติของสัญชาตญาณของมนุษย์มาหลายพันปีที่แสดงถึงความรักของคน และสัตว์มาอย่างเนิ่นนาน ทำให้ การจุ๊บ การจูบ มีความหมายได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็น การรักใคร่ การห่วงใย ความคิดถึง การขอบคุณ การทักทาย แสดงความสนิทสนม และการบูชาเทิดทูน ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ว่าจะตีความหมายออกมาว่าอย่างไร
ประเทศไทย การจุ๊บ หรือ การจูบ เป็นเรื่องที่สื่อถึง ‘ความรักใคร่’ ที่จะแสดงกับคู่รัก ครอบครัว และลูกของตนเองเสียส่วนใหญ่ รวมถึงมีเรื่องของวัฒนธรรม ค่านิยม ความเหมาะสมที่ถือว่าควรเป็นเรื่องส่วนตัว มีน้อยครั้งมักจะสื่อออกมาในทิศทางอื่นๆ และไม่นิยมมีการจุ๊บ หรือจูบกันเท่าที่ควรในพื้นที่สาธารณะ เนื่องจากดูไม่ดี ไม่น่ารัก และไม่เหมาะสมที่อาจทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ดีเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามการกระทำเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดร้ายแรง และผิดกฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องของรสนิยม ที่เรียกว่า PDA (Public Display of Affection) รวมทั้งในวัฒนธรรมบ้านเรา การจุ๊บ การจูบ กันไม่นิยมกระทำการเหล่านี้กับเพศตรงข้ามโดยเฉพาะถ้าหากอีกฝ่ายมีคู่อยู่แล้ว ยิ่งดูเป็นเรื่องไม่สมควร และไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก
...
อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ เรื่องเหล่านี้จะมีการตีความหมายอย่างไร สามารถทำได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ไม่งามเฉกเช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมบ้านเราหรือเปล่า ถ้าหากเกิดขึ้นในวัฒนธรรม ค่านิยม และการใช้ชีวิต บนธรรมเนียมจากประเทศอื่นๆ เขาจะสื่อความหมายอย่างไรกันบ้าง
วัฒนธรรม การจุ๊บ และการจูบกันในแต่ละพื้นที่ทั่วโลกต่างก็มีความหมาย และค่านิยมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งอาจจะต้องมีเหตุการณ์พิเศษ หรือโอกาสสำคัญ โดยไม่ใช่พื้นที่ไหนก็ได้ และทั้งหมดอาจจะไม่ได้สื่อถึงความรัก ความโรแมนติกเพียงอย่าเดียวเท่านั้น บางพื้นที่ในโลกยังใช้การจุ๊บ และการจูบเป็นธรรมเนียม และประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน
- เยอรมนี และออสเตรีย 2 ประเทศวัฒนธรรมการจูบสุดโรแมนติก
ประเทศที่ใช้การจุ๊บแก้มกันเพื่อการทักทาย และมีการจูบกัน อย่างไม่พร่ำเพรื่อ และมีความโรแมนติกอย่างแท้จริง พวกเขานิยมจุ๊บ และจูบกันตามบรรยากาศ และสถานการณ์ที่นำพาอย่างเหมาะสม เช่น ตอนพระอาทิตย์ตกดิน หน้ากองไฟในคืนที่หนาวเหน็บ หรือใต้แสงเทียน เพื่อเพิ่มความเสน่หา ความหลงใหล และความรักอันยิ่งใหญ่
โดยพวกเขามองว่าทั้งหมดนี้ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการจูบกันในวัฒนธรรมของพวกเขา ที่มุ่งเน้นไปที่ความโรแมนติก ยิ่งไปกว่านั้นหากมีบรรยากาศ และสถานการณ์เหล่านี้ ชาวเยอรมัน และชาวออสเตรเลียมักจะจูบกันโดยใช้เวลาที่นานอีกด้วย
- อิตาลี กับการจูบที่ถือเป็นมรดกระดับประเทศ
ผลสถิติพบว่าจาก กว่า 75 % ชาวอิตาลีชอบการจูบการแบบดูดดื่มเป็นเวลาหลายครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พวกเขาขึ้นชื่อว่ามีทักษะการจูบที่ดีเยี่ยมที่สุดในขณะที่อีก 56 เปอร์เซ็นต์จากทั่วโลก ไม่ค่อยได้มีการจูบแบบดูดดื่มกันมากเท่าไร
...
- กรีก การจูบเพื่อพันธสัญญา
ชาวกรีก ได้รับวัฒนธรรมการจูบมาจากโรมัน ซึ่งนิยมจูบกับสิ่งของ หรือสัญญาเพื่อทำตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้ เปรียบเสมือนกับการจูบเพื่อแสดงความรักของคู่รัก ที่หมายถึงการฝากสัญญาความรักไว้แก่เธอเพียงผู้เดียว ดังนั้นการจูบกันของชาวกรีกจึงถือเป็นเรื่องที่ปกติ และสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน และเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องอายใคร หากจะทำการจูบกันในพื้นที่สาธารณะ
- ฝรั่งเศส รสนิยมจูบแบบเร่าร้อน
ชาวฝรั่งเศสก็ไม่น้อยหน้าความเป็นประเทศที่มีเมืองหลวงสุดโรแมนติกอย่างปารีส ชาวฝรั่งเศสจึงมีรสนิยมการจูบแบบเร่าร้อน และเน้นใช้ลิ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ จึงไม่แปลกใจที่ทำให้เกิดกฎหมาย บนสถานที่เดียวที่ห้ามจูบในฝรั่งเศส คือ ทางม้าลาย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายหากแสดงความรักด้วยการจูบกันนานเกินไป ซึ่งนั่นแปลว่าหากได้เดินทางไปยังฝรั่งเศสคุณจะเห็นคนจูบ และแสดงความรักกันในสถานที่ต่างๆ อยู่ทั่วทุกมุมเมือง
...
- นิวซีแลนด์ ถูจมูกแทนการจูบ แสดงความรัก
เกือบทุกประเทศจะนิยมใช้ ‘การจูบ’ เป็นการแทนสัญลักษณ์การแสดงความรักใคร่แล้ว แต่ก็มีบางประเทศที่แสดงความรักแบบน่ารัก และดูซอฟต์ลงไปกว่าการจูบอยู่ด้วยเช่นกัน ชาวนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สืบทอดวัฒนธรรมจากชาวเอสกิโม จนเป็นอีกหนึ่งประเทศที่นิยมใช้จมูกมาถูกันเพื่อแสดงความรักในที่สาธารณะแทนการจูบ นอกจากนี้การนำจมูกมาถูกันนอกจากจะเป็นการแสดงความรักใคร่แล้ว ยังสื่อถึงความรัก ความห่วงใย แถมยังเป็นหนึ่งในการทักทายที่ดีของชาวนิวซีแลนด์ได้อีกด้วย แต่ในบางครั้งเมื่ออากาศเริ่มหนาว การจูบกันเพื่อสร้างความอุ่นก็เป็นที่นิยมไม่น้อยสำหรับชาวนิวซีแลนด์
- อเมริกัน จูบกันสไตล์ฮอลลีวูด
ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่นิยมจุ๊บกันมากเท่าที่ควร เนื่องมาจากการทักทายของพวกเขาจะเน้นเป็นการจับมือ หรือสวมกอดอย่างแนบชิด แต่การจุ๊บกันของชาวอเมริกันจะถูกทดแทนด้วยการจูบ แบบเน้นใช้ริมฝีปากแทนอย่างที่เห็นกันเป็นส่วนมากในหนังฮอลลีวูด
...
ส่วนใหญ่ชาวอเมริกันมักจะจูบกันก็ต่อเมื่อทั้งสองพึงพอใจซึ่งกันและกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลารู้จักกันมายาวนาน แต่หากทั้งสองชอบคอกันก็สามารถจูบกันได้ในเดตแรก และจะเห็นคนจูบกันแบบหนังฮอลลีวูดได้ทั่วทุกพื้นที่ของเมือง
- การจูบ ที่เต็มไปด้วยความหมายของชาวอินเดีย
ชาวอินเดียมีวัฒนธรรมที่มาจากฮินดูเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การจูบกันของชาวอินเดียนั้นเป็นเรื่องพิถีพิถัน และอ่อนโยนอย่างมาก ซึ่งในอินเดียการจูบกันบนที่สาธารณะถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำ และผิดกฎหมายร้ายแรงของประเทศอีกด้วย
การที่จะได้จูบกันของชาวอินเดียเพื่อแสดงความรักกันนั้นมีข้อบังคับ และเงื่อนไขอยู่มากมาย เช่น ผู้ที่จะจูบกันได้นั้นต้องจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายก่อนเท่านั้น ทำให้จูบแรกของชาวอินเดียจึงมีความหมาย และสำคัญอย่างมากต่อชีวิต
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศที่มีวัฒนธรรมที่ยังไม่นิยมการจูบกันมากนั้น ที่ไม่แตกต่างกันกับอินเดีย เช่น อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และอาหรับเอมิเรตส์
- การจูบ คือ วัฒนธรรมใหม่ของชาวญี่ปุ่น
แม้ว่าในหลากหลายประเทศการจูบกันจะถือเป็นเรื่องปกติ เพื่อที่จะแสดงความรักกันในบทบาท และฐานะต่างๆ แต่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีวัฒนธรรม และประเพณีอันเคร่งครัด และสวยงาม ทำให้ ‘การจูบ’ นั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องที่น่ายอมรับเสียเท่าไร เพราะ ชาวญี่ปุ่น มีการตีความหมายของการจูบไปมากกว่าการแสดงความรัก โดยมองว่าการจูบ คือ การกระทำก่อนการมีเพศสัมพันธ์ และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมาทำในที่สาธารณะ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเรื่องของศิลปะ วัฒนธรรมต่างๆ แฟชั่น และความทันสมัยที่เข้ามาเรื่อยๆ จนชาวญี่ปุ่นได้ยอมรับ และปรับตัวมากขึ้น ทำให้การจูบนั้นเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายลงและเริ่มมีการแสดงความรักเหล่านี้ในที่สาธารณะมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น
- การจูบ ซอฟต์พาวเวอร์หลักของเม็กซิโก
ชาวเม็กซิกัน นิยมที่จะจูบกันในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันเทศกาลสำคัญของความรัก นอกจากนี้พวกเขาเคยทำกิจกรรมการจูบมาราธอน และได้ลงหนังสือ Guinness Book of Records ด้วย เพราะ การจูบมาราธอน ถือรูปแบบหนึ่งของการประท้วงต่อต้านลัทธิอนุรักษนิยมในประเทศของตนเอง ทำให้วัฒนธรรมการจูบของชาวเม็กซิกันเป็นกระแสอีกครั้ง และเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ชาวเม็กซิกัน รวมถึงในเมืองกวานาวาโต ทางตอนกลางของเม็กซิโก ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกว่า Alley of the Kiss ซึ่งเป็นจุดยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว และสถานที่สัญลักษณ์สำคัญแห่งการจูบที่มีประวัติศาสตร์ของประเทศเม็กซิโก
นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายประเทศที่เริ่มผ่อนคลายของวัฒนธรรม มีการรณรงค์ และเรียกร้อง ในเรื่องของการจูบกันเพื่อแสดงความรักอยู่มากมาย เช่น ชาวแอฟริกาที่ออกมาเรียกร้องว่าการจูบกันไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใด
‘การจูบ’ จึงเป็นอีกหนึ่งตัวแทน และสัญลักษณ์สำคัญในการสื่อความหมายของความรักได้เป็นอย่างดี และสวยงาม มุมกลับกันก็มีอิทธิพลอย่างมาก ในแต่ละประเทศ ที่ต่างตีความหมายไปอย่างหลากหลาย
ทำให้ การจูบ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่สามารถจะนำไปใช้ได้ในทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์ โดยจำเป็นที่จะต้องศึกษา เข้าใจ และใช้ความคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนก็จะแสดงความรักเหล่านี้ออกมาก ซึ่งบางครั้งเจตนา และจุดประสงค์ในการสื่อความหมายที่แตกต่าง และนำพามาซึ่งความเดือดร้อนให้แก่ตัวเราได้เช่นกัน แม้ ‘การจูบ’ จะเป็นหนึ่งในตัวแทนของความรัก ความห่วงใย ที่สวยงามก็ตาม
ข้อมูล : labello, gadventures
ภาพ : istock