ไข้เลือดออก โรคร้ายที่เกิดจากยุงลายเป็นพาหะนำโรค สามารถพบการแพร่ระบาดได้ในประเทศเขตร้อน และเขตร้อนชื้นทั่วโลก ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาเชื้อเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรงที่ส่งผลให้เสียชีวิตได้
สาเหตุของไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก เป็นโรคที่ติดเชื้อจากยุงอย่างเฉียบพลัน โดยเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งเป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไวรัสเดงกีประกอบด้วยไวรัสที่แตกต่างกัน 4 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดสามารถนำไปสู่โรคไข้เลือดออกและไข้เลือดออกชนิดรุนแรงได้ (โรคไข้เลือดออกเดงกี)

อาการไข้เลือดออก
- มีไข้สูง
- ปวดศีรษะรุนแรง
- ปวดหลังกล้ามเนื้อ และปวดข้อ
- คลื่นไส้อาเจียน
- มีอาการบวมที่ต่อมน้ำหลือง
- มีผื่นแดง หรือจุดเลือดออกตามตัว
ทั้งนี้ ผู้ที่ติดเชื้อบางคนอาจมีอาการไม่ชัดเจน และบางคนอาจมีอาการเล็กน้อย เด็กเล็กอาจมีอาการไข้ที่ไม่เฉพาะเจาะจงร่วมกับผื่นแดงตามตัว

...
ไข้เลือดออกชนิดรุนแรงเกิดจากอะไร
การติดเชื้อไข้เลือดออกครั้งแรกมักจะไม่รุนแรง แต่ถ้าหากเป็นซ้ำอาจทำให้มีอาการไข้เลือดออกชนิดรุนแรงกว่าครั้งแรกได้ เนื่องจากการได้รับเชื้อในครั้งก่อน ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะเชื้อสายพันธุ์ที่ได้รับ และภูมิคุ้มกันจะค่อยๆ ลดลง ดังนั้นเมื่อมีการติดเชื้อครั้งที่สอง แต่เป็นคนละสายพันธุ์กัน ภูมิต้านทานที่เหลืออยู่จะเกิดความสับสน จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ดีพอ หรือกำจัดได้ไม่ทัน ซ้ำยังพบว่าในบางราย ภูมิต้านทานที่เคยเป็นเกราะป้องกันกลับไปส่งเสริมให้เชื้อไวรัสนั้นแข็งแรงขึ้น กระจายตัวได้มากขึ้น จึงเป็นเหตุให้การติดเชื้อครั้งที่สองมีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม
อาการไข้เลือดออกชนิดรุนแรง
ไข้เลือดออกชนิดรุนแรง เป็นภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หากผู้ป่วยมีอาการต่างๆ เหล่านี้อาจจะทำให้เกิดภาวะช็อก และเสียชีวิตได้
- มีไข้สูง 40-41 องศาฯ นาน 2-7 วัน
- ผิวหน้าแดง
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- อาเจียนเรื้อรัง
- หายใจเร็ว
- อ่อนเพลีย
- มีการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง
- มีภาวะเลือดออกในอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ทางเดินอาหาร สมอง
- เกิดภาวะช็อกจากการที่เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ไม่พอ
- การหายใจล้มเหลวจากสารน้ำที่รั่วไปท่วมที่ปอด
- ตับวายจากการที่ไวรัสทำให้เกิดการอักเสบ และจากการที่เลือดไปเลี้ยงไม่พอ
ไข้เลือดออกรักษาได้หรือไม่
สำหรับปัจจุบันวิธีรักษาอาการของโรคไข้เลือดออกนั้นยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสที่ออกฤทธิ์ทำลายเชื้อไข้เลือดออก หรือเชื้อไวรัสเดงกีได้โดยตรง ดังนั้นการรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ด้วยการให้ยาลดไข้ในกลุ่มพาราเซตามอล และต้องพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไข้ตัวอื่นที่อาจจะมีความสัมพันธ์กับอาการเลือดออกผิดปกติได้ เช่น ยาในกลุ่มแอสไพริน (aspirin) หรือไอบูโพรเฟน (ibuprofen)
นอกจากนี้ยังควรเฝ้าระวัง และสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากผู้ป่วยมีอาการ ปวดท้อง มีอาการกระสับกระส่ายหรือซึมลง มือเท้าเย็นพร้อมๆ กับไข้ลดลง หรือมีอาการหน้ามืด ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที ก่อนที่ผู้ป่วยจะเกิดอาการช็อกได้
ไข้เลือดออก ป้องกันได้หรือไม่
การป้องกันการเกิดไข้เลือดออกที่ดีที่สุด ก็คือการระวังไม่ให้ถูกยุงลายกัด ซึ่งต้องเริ่มจัดการตั้งแต่ต้นตอด้วยวิธีต่อไปนี้
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- หลีกเลี่ยงภาชนะที่มีน้ำขังต่างๆ
- ตุ่ม โอ่ง ต้องมีฝาปิดมิดชิด
- ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น แจกัน ทุกๆ 7 วัน
- ใส่ทรายอะเบตลงในตุ่มน้ำ และภาชนะกักเก็บน้ำ ในอัตราส่วน 10 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตร และควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน
- ป้องกันการถูกยุงกัดที่เหมาะสม เช่น ทายาป้องกันยุง หรือใช้ยากันยุง เป็นต้น
- สวมเสื้อผ้าที่มิดชิดเพื่อลดโอกาสการถูกยุงกัด
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกที่พูดถึงกันมากที่สุดในปัจจุบัน นั่นก็คือ การใช้วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ที่สามารถใช้ได้ผลดีและลดความรุนแรงได้โดยเฉพาะในคนที่เคยป่วยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน

...
เนื่องจากวันนี้ยังไม่มียาสำหรับรักษาโรคไข้เลือดออกแบบเฉพาะเจาะจง การรักษาที่ทำได้คือการประคับประคองตามอาการ และความรุนแรงที่เกิดขึ้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก จึงเป็นการป้องกันทั้งการติดเชื้อ และความรุนแรงของโรค โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการใช้วัคซีนไข้เลือดออกที่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสเดงกีได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ โดยมีประสิทธิภาพดังนี้
- ป้องกันการติดเชื้อได้ 65.6%
- ป้องกันความรุนแรงของโรคได้ 93.2%
- ลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80.8%
วัคซีนไข้เลือดออก เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 9-45 ปี โดยจะให้ผลดีในผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อนแล้ว ซึ่งจากสถิติของสำนักระบาดวิทยา พบว่า กลุ่มเด็กวัยเรียนช่วงอายุ 5-14 ปี มักเคยติดเชื้อมาก่อน และสำหรับประชากรในกรุงเทพฯ ที่อายุมากกว่า 15 ปี ส่วนใหญ่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาแล้ว แต่อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อยจนไม่ทราบว่าตนเองเคยติดเชื้อมาก่อน ดังนั้นหากมีโอกาสจึงควรปรึกษาแพทย์และรับคำแนะนำในการฉีดวัคซีนไข้เลือดออก เพื่อการป้องกัน และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากมีการติดเชื้อซ้ำ.
ข้อมูลอ้างอิง : Centre for Health Protection (CHP) of the Department of Health, รพ.พญาไท, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล