จากสถานการณ์ทางการเมืองของไทยที่พร้อมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา จนทำให้เกิดกระแสในโซเชียลที่คิดต่างกันจนสร้างความเกลียดชังทั้งสองฝ่าย จิตแพทย์ได้แนะแนวทางในการเสพสื่อโซเชียลเพื่อรับมือกับความเครียดไว้ดังนี้
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต และอดีตนายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมไลฟ์สไตล์ไทยรัฐออนไลน์ว่าปัจจุบันการเสพสื่อโซเชียลต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ สื่อกระแสหลักที่เผยแพร่ข่าวบนโซเชียล กับสื่อโซเชียลทั่วไป เช่น เพจต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันมากพอสมควร
ในความเห็นของ นพ.ยงยุทธ มองว่าสื่อโซเชียลมักจะแสดงความเห็นต่างทางการเมืองที่ค่อนข้างชัดเจน และเมื่อเราไปติดตามหรือกดไลค์ก็จะทำให้ระบบอัลกอริทึมรับรู้ได้ว่าเราสนใจสิ่งนี้ก็จะทำให้มีคอนเทนต์ประเภทนี้แสดงให้เราเห็นบ่อยครั้งมากขึ้น ทำให้เรารับรู้ข่าวสารฟากเดียวไปโดยปริยาย และนั่นก็อาจทำให้เกิดการเกลียดชังมากขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่อันตราย
“ความคิดต่างโดยเฉพาะทางการเมือง ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องถูกผิดหรือดีเลว การที่แต่ละพรรคการเมืองมีนโยบายที่ต่างกันก็ควรเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่บ้านเราไม่ยอมรับและใช้วิธีสร้างความเกลียดชัง ซึ่งก็มีหลายดีกรี ตั้งแต่บอกว่าผิด มากกว่านั้นก็เลว มากกว่านั้นก็ไม่ควรอยู่ในระบบหรือสังคมไทย ดังนั้นการสร้างความเกลียดชังคือตัวปัญหา เพราะมีผลที่จะนำไปสู่ความรุนแรงได้ แทนที่จะเป็นการยอมรับหรือเคารพความเห็นต่างก็กลายเป็นความเกลียดชังแทน”
...
ซึ่งเขามองว่าหากมีเหตุการณ์ที่เหมาะสมหรือเอื้ออำนวยอาจก่อให้เกิดความรุนแรงได้ง่าย นอกจากความรุนแรงทางกายภาพแล้ว ความเกลียดชังยังไม่ดีต่อสุขภาพจิตด้วย จะเห็นได้จากคนที่ส่งข้อความแสดงความเกลียดชังจะออกมาจากอารมณ์ที่เป็นด้านลบ และเป็นตัวที่ทำให้เกิดคุณภาพจิตที่ไม่ดี ในทางตรงข้ามถ้าเป็นคนที่มีใจเปิดกว้างยอมรับความเห็นทั้งสองฝ่ายก็จะมีสุขภาพจิตที่ดีกว่า และตอนนี้คนไทยกำลังเสียสุขภาพจิตมาจากความเกลียดชังที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ คุณหมอยังมองว่าไม่ว่าจะมีความคิดทางการเมืองฝ่ายไหนก็ตาม ไม่ควรสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะฝ่ายที่เป็นหลักอยู่ยิ่งต้องระวังมาก เพราะการที่ไปสร้างความเกลียดชังก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายไม่มีทางออกก็จะเกิดการตอบโต้กันไปมา ยิ่งทำให้เกิดบรรยากาศที่ไม่ยอมรับความเห็นต่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากๆ
“หลักคิดง่ายๆ ของการจัดการเรื่องนี้ก็คือ การยอมรับในเบื้องต้นก่อนว่าความเห็นต่างไม่ใช่เรื่องถูกผิดดีเลว หรืออยู่ร่วมกันไม่ได้ การยอมรับก็คือทำใจให้กว้างและพร้อมเปิดใจยอมรับความเห็นที่ต่างกัน เป็นเรื่องที่จำเป็น”
สิ่งที่ทำให้เกิดความเกลียดชังก็คือการสื่อสารในโซเชียล จึงไม่ควรผลิตและส่งต่อความเกลียดชัง เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ไม่ดีในสังคม และทางที่ดีคือควรเตือนเมื่อเห็นใครส่งต่อข้อความ Hate Speech หรือ Fake News ที่สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีความเห็นทางการเมืองตรงกันก็ตาม เพราะไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศทางสังคมที่ต้องการให้มีทางออกร่วมกัน
“การเตือนจะได้ผล 2 อย่าง คือ 1. หยุดพฤติกรรมส่งต่อ 2. คิดตามว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และขอโทษ นี่คืองานด้านสุขภาพจิตที่เราเน้นย้ำกันอยู่ คือ 2 ไม่ 1 เตือน ได้แก่ 1. ไม่ผลิต 2. ไม่ส่งต่อ และ 3. เตือน”
ขณะเดียวกันทางด้านสื่อกระแสหลักที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางโซเชียล ในความเห็นของเขาแบ่งเป็นสื่อกระแสหลักที่เลือกข้างและสื่อกระแสหลักที่เป็นกลาง ซึ่งคนที่รับสื่อด้านเดียวก็ควรรู้ว่าฟังสื่อข้างเดียวจะทำให้เกิดคุณภาพอารมณ์ที่ไม่ดี ทำให้เกิดความเครียด ก็ควรจะเปลี่ยนมารับรู้ข้อมูลข่าวสารของสื่อกลางๆ มากขึ้น เพื่อให้เปิดใจกว้างในการรับข้อมูล และมองปัญหาให้กว้างขึ้น เพราะถ้าฟังสื่อด้านเดียวก็ทำให้เราไม่เคยมองต่างมุม ซึ่งทำให้เราขาดโอกาส
อย่างไรก็ตาม ในฐานะจิตแพทย์ เขาก็มีความเห็นว่าการที่สื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ควรทำข่าวที่วิเคราะห์ข้อมูลเจาะลึกให้มากขึ้นกว่านี้ ไม่ใช่แค่การไปถามความเห็นสองด้านให้สาดเสียเทเสียกันไปมา ซึ่งในมุมจิตวิทยาการทำแบบนี้ยิ่งทำให้สร้างความเกลียดชังมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดความรุนแรงในสังคมได้ในอนาคต
“สื่อใหญ่ๆ ทั้งหลายที่เป็นกลางจะทำงานเป็นระบบ มีกองบรรณาธิการที่คอยดูแลไม่ให้เอียงข้าง แต่ก็ควรจะทำงานแบบวิเคราะห์เจาะลึกให้มากขึ้น อย่าเน้นว่าเป็นการเอาไมโครโฟนไปใส่ปากคนโน้นให้ด่าคนนี้ มันเป็นการรับฟังทั้งสองข้างก็จริงแต่เป็นการรับฟังแบบเชิงอารมณ์ ที่ผิวเผิน ควรมีการวิเคราะห์เจาะลึกมากขึ้น เช่น เจาะลึกให้เห็นว่าทำไมต้องสร้างความเกลียดชัง หรือจะวิเคราะห์จากบทเรียนของต่างชาติก็ได้ เพื่อให้เห็นว่าการสร้างความเกลียดชังมันสร้างปัญหา ในเชิงจิตวิทยามองว่าการสร้างความเกลียดชังเป็นบทโหมโรง ของการที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงทางกายภาพ ทุกประเทศที่มีการทำรัฐประหารจะสร้างความรุนแรงด้วยความเกลียดชังนำมาก่อน เพราะฉะนั้นสื่อน่าจะทำบทบาทนี้ให้มากขึ้น”
นอกจากนี้สื่อควรมีข้อมูลที่เจาะลึกมากขึ้นว่าทำไมสังคมไทยถึงมีการสร้างความเกลียดชังโดยศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศว่าเพราะอะไร ซึ่งในยุโรปจะมีวัฒนธรรมห้ามนักการเมืองสร้างความเกลียดชัง เพราะทำให้เกิดบรรยากาศที่ไม่ดี เนื่องจากเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของสังคม มีบทบาท มีอำนาจ ไม่ควรเป็นตัวอย่างของการสร้างความเกลียดชัง
...
“ผมเห็น สส. สว. บางคนพูดสร้างความเกลียดชังนี้ไม่ดีเลย และเราควรเข้าใจเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้นว่าการสร้างความเกลียดชังคือต้นตอของปัญหา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความแตกต่าง แต่ปัญหาอยู่ที่ความเกลียดชัง เพราะความแตกต่างมีในทุกสังคม คนอยู่ในที่ทำงานเดียวกัน ชุมชนเดียวกัน ก็เห็นต่างกันได้ เช่น เรื่องทำแท้ง เรื่องความหลากหลายทางเพศ ก็ไม่เห้นต้องใช้ความรุนแรงเลย เพราะเรื่องนี้ไม่มีถูกผิด เราควรเปิดใจกว้าง แต่พอมีการสร้างความเกลียดชังมันก็จะมีเรื่องอื่นเข้ามาเพิ่มเติม เช่น เรื่องผลประโยชน์ เป็นต้น อย่างนี้สื่อก็ควรทำหน้าที่ที่จะศึกษาให้ลึกซึ้งขึ้น เพื่อให้สังคมสามารถก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่สร้างความเกลียดชัง”
...
สำหรับผู้ที่ผิดหวังทางการเมืองที่ผลการเลือกตั้งออกมาดีแต่สุดท้ายไม่ได้เป็นดังที่หวังทำให้เครียดกับการเสพสื่อการเมือง นพ.ยงยุทธ ได้แนะนำว่าควรรักษาความตื่นตัวทางการเมืองที่ดีแบบนี้เอาไว้ ถ้าหากสิ่งที่สนับสนุนทำได้ดีต่อไปก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
“เพราะเรารู้ว่าสุดท้ายแล้วรัฐธรรมนูญนี้ก็ต้องถูกแก้ แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้วระบบจะต้องถูกเปลี่ยนแปลง ยิ่งถ้าการเปลี่ยนมีเหตุมีผลก็ให้รักษาความมีเหตุมีผลนี้ไว้ จะทำให้มีความชอบธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตรงกันข้าม ถ้าไปตอบโต้ด้วย Hate Speech กับฝ่ายตรงข้ามก็ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น ก็จะทำให้เราเสียความชอบธรรมมากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าเรารักษาความชอบธรรมไว้การเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้าทำให้เกิดความรุนแรงก็จะทำให้เสียความชอบธรรม”
ภาพ: ทีมช่างภาพไทยรัฐออนไลน์