วิธีรับมือมิจฉาชีพ และการรักษาสิทธิ์เบื้องต้น ในกรณีถูกฉ่อโกงในการทำธุรกรรม ซื้อ-ขาย บนโลกออนไลน์เบื้องต้น ควรทำอย่างไร

ยุคที่มีเทคโนโลยีเฟื่องฟู มีเครื่องมือในการใช้งานบนโลกดิจิทัลออนไลน์อย่างหลากหลาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ทำให้ในปัจจุบันมีร้านค้าต่างๆ และมีการซื้อ-ขาย บนโลกออนไลน์เพิ่มเป็นจำนวนมาก โดยมีข้อดีอยู่มากมาย เช่น ไม่จำเป็นต้องออกไปยังร้านค้าเองให้เสียเวลา, สามารถดูรีวิวจากผู้ใช้งานจริง และอำนวยความสะดวกในเรื่องการขนส่ง ไม่ยุ่งยากหลายขั้นตอน จึงตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่เป็นอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ตาม การซื้อ-ขาย บนโลกออนไลน์ที่ง่าย และสะดวกสบาย ก็มีช่องโหว่ ให้ผู้ไม่หวังดี หรือมิจฉาชีพมักจะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มการบริการบนโลกออนไลน์นี้ ทำให้มีจำนวนผู้ที่โดนหลอกลวงกับธุรกรรม ซื้อ-ขาย ออนไลน์เป็นจำนวนมาก

ThaiPoliceOnline เผยสถิติ ผู้ร้องเรียนปัญหาภัยออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 - 21 มีนาคม 2566 ซึ่งมีคดีความออนไลน์กว่า 247,753 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมด 32,083 ล้านบาท โดยมีเคสการหลอกลวงซื้อขายสินค้า จำนวน 75,307 ครั้ง คิดเป็น 33.62% ความเสียหาย 1,003 ล้านบาทเลยทีเดียว

เมื่อถูกหลอกแล้วจะตกเป็น ผู้เสียหาย ทันที สามารถเข้าแจ้งความเอาผิดกับมิจฉาชีพได้ตามกฎหมาย โดยต้องแจ้งความภายใน 3 เดือนนับแต่รู้ตัวเอง และรู้ตัวผู้กระทำความผิด โดยไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ถ้าเป็นการทำธุรกรรมออนไลน์จากที่บ้าน ก็สามารถแจ้งได้ที่สถานีตำรวจใกล้บ้านได้ทั้งหมด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดี คือ กรมปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)

ซื้อ-ขาย ของออนไลน์แล้วโดนโกง ควรทำอย่างไร

...

เก็บหลักฐาน ข้อมูล ให้มากที่สุด : หากรู้ตัวแล้วว่าโดนมิจฉาชีพหลอกให้ทำการรีบเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด ยิ่งเป็นการดีต่อการสืบสวน เช่น ภาพหน้าร้านเพจ, โปรไฟล์ของพ่อค้าแม่ค้าหรือผู้ขายสินค้า, โพสต์, ที่ประกาศขายสินค้า, แชต, ข้อความการพูดคุยระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย, บัญชี, ธนาคารที่โอนเงินไป, สลิป และ การโอนเงินชำระค่าสินค้า

นำหลักฐาน ไปแจ้งความทันที และแจ้งธนาคาร : หลักฐานทั้งหมดสามารถรวบรวม และนำไปที่สถานีตำรวจใกล้บ้านของคุณ โดยจะต้องเตรียมเอกสารประกอบการแจ้งความไปด้วยตามข้อด้านบน พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชนผู้เสียหาย เพื่อออกใบแจ้งความ และคดีความจะมีอายุไขทั้งหมด 3 เดือน และประสานงานกับธนาคารต้นทาง และปลายทางเพื่อระงับ แจ้งเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทางธนาคารได้ช่วยเราติดตามมิจฉาชีพได้ไวขึ้น

ประสานงาน ติดต่อแพลตฟอร์มผู้ให้บริการ : หากในธุรกรรมของเรามีการ ซื้อ-ขาย ผ่านแพลตฟอร์มที่เป็นหลักแหล่ง เชื่อถือได้ ให้เรานำหลักฐานการแจ้งความ เพื่อแจ้งประสานงานขอข้อมูลมิจฉาชีพ ที่ใช้ทำการสมัคร เพื่อค้นหาข้อมูลต่างๆ ในการตามตัวได้ เช่น IP Address (หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายสามารถบอกได้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ที่ไหน), การยืนยันตัวตน และอื่นๆ จากผู้บริการเว็บไซต์นั้นๆ

นำหลักฐานที่ได้เพิ่มเติม ไปดำเนินการต่อ : หากได้หลักฐานเพิ่มเติมมามากขึ้น เช่น ใบหน้า และข้อมูลของการยืนยันตัวตน ก็สามารถไปแจ้งยังสถานีตำรวจเพื่อดำเนินการต่อได้ทันที หรือเลข IP Address ก็สามารถนำไปยื่น ISP (หน่วยงานที่ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) ของ IP Address นั้นๆ พร้อมกับใบแจ้งความ เพื่อรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์มือถือ เบอร์โทรศัพท์บ้าน และ ชื่อ-นามสกุล 

ส่งข้อมูลที่ได้เพิ่มมาให้กับตำรวจ เพื่อตามตัว : ถ้าได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว ก็นำหลักฐานส่งต่อให้กับทางตำรวจเพื่อประสานงานออกหมายเรียก ตามตัว หรือหมายศาลไปยังมิจฉาชีพ เพื่อดำเนินคดีความในลำดับต่อไป

ซึ่งหากตามตัวมิจฉาชีพได้แล้ว ทางผู้ต้องหาจะโดนดำเนินคดีความทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางการเงินผ่านอินเทอร์เน็ต ในกฎหมายพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ตามมาตรา 14 วรรค 1 มีเนื้อหาดังนี้ “การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชนเอาผิดตามกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ได้” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

ข้อมูล : สสส., กองปราบปราม