"อินเดียน่า โจนส์" คือชื่อที่ทำให้คอหนังทั่วโลกนึกถึงแส้ หมวกคาวบอย และการผจญภัยล่าสมบัติข้ามโลกมาเนิ่นนานกว่า 40 ปี เรียกได้ว่าตามหาขุมทรัพย์กันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ จนตอนนี้รุ่นลูกมีหลานโตกันหมดแล้ว ซึ่งในปี 2023 ปู่แฮริสัน ฟอร์ด เขาก็ขอกลับมาสวมแจ็กเกตหนังเพื่อผจญภัยกันต่ออีกครั้ง ในภาคที่ 5 ซึ่งในฐานะแฟนตัวจริงที่ดูมาทุกภาค เห็นสภาพของปู่และตัวหนังที่ออกมาครั้งนี้ นี่คงเป็นครั้งสั่งลาของอินดี้จริงๆ แล้วล่ะ…

Dial of Destiny เล่าเรื่องราวของ ดร.เฮนรี่ โจนส์ จูเนียร์ ในวัยย่างเข้าหลักเลข 8 ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังกลายเป็นโบราณวัตถุไปซะเอง ท่ามกลางสิ่งใหม่ๆ ในยุค 70 ที่ทุกคนกำลังเห่อเทคโนโลยีจนลืมประวัติศาสตร์โบราณกันไปหมด แต่แล้วเขาก็ดันได้กลับมาเจอลูกสาวของอดีตเพื่อนสนิท จนจับพลัดจับผลูต้องช่วยกันล่าขุมทรัพย์วิเศษแข่งกับวายร้ายนาซีกันอีกรอบ และออกเดินทางข้ามโลกเพื่อบู๊ล้างผลาญกันอีกแล้ว

แน่นอนว่าหนังอินเดียน่า โจนส์ จะขาดฉากแอ็กชั่นไปได้ไง ซึ่งการผจญภัยในหนังภาคนี้ก็ดูสนุกดี โดยเฉพาะฉากขับรถไล่ล่าที่ดูตื่นเต้นใช้ได้ ปัญหาคือ ฉากยิงกันหรือต่อยกันส่วนใหญ่ภาพจะค่อนข้างมืดมาก แถมยังตัดสลับไปมาจนดูไม่ค่อยออกว่าเกิดอะไรขึ้นบนหน้าจอ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนังต้องการจะกลบสภาพของแฮริสัน ฟอร์ด ที่เริ่มบู๊ไม่ค่อยไหวรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือมันทำให้ดูแล้วรู้สึกได้เลยว่านี่ไม่ใช่อินเดียน่า โจนส์ ภาคที่พ่อมดฮอลลีวูดอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นผู้กำกับ

...

ส่วนฉากย้อนอดีตที่ทำให้เราเห็นหน้าแฮริสัน ฟอร์ด ในวัยหนุ่มช่วงต้นเรื่อง ซึ่งหลายคนอาจกังวลว่าจะขัดตามากๆ ก็ดูไม่ได้ผิดปกติอะไรนะ ถึงจะมีบางซีนที่ดู CG ไม่เนียนกริ๊บบ้าง หรือเสียงลุงฟังดูแก่กว่าหน้าไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับความบันเทิงบนหน้าจอ ตัวปัญหาตัวจริงคือจังหวะการเล่าเรื่องของ Dial of Destiny มากกว่า ที่ดูกระอักกระอ่วน ยึกๆ ยักๆ ตลอดเวลา ทำให้ตอนดูรู้สึกว่าหนังไม่ค่อยเพลิน แถมหนังที่ยาว 2 ชั่วโมงกว่าก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ว่าหนังมันยืด จนหลายครั้งก็แอบรู้สึกเบื่อทั้งที่มีเหตุการณ์ผจญภัยมากมายเกิดขึ้นตรงหน้า นอกจากนี้ หนังยังไม่ค่อยตลก ถึงตลอดเรื่องจะมีมุกเปิ่นๆ เอาไว้ให้ขำหึเป็นระยะ แต่มันก็ไม่ใช่มุกบ๊องๆ น่ารักๆ ที่ทำให้เราปล่อยก๊าก ซึ่งเป็นเหมือนกับลายเซ็นของซีรีส์อินเดียน่า โจนส์

จุดที่เซอร์ไพรส์มากก็คือวายร้ายตัวใหญ่สุดของภาคนี้กลับไม่ใช่คุณ Mads Mikkelsen แบบที่หนังโฆษณา แต่มันคือวายร้ายที่ชื่อว่า "ความสมเหตุสมผล" ของเรื่องต่างหาก เพราะสรรพสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้แทบไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับเลย ก็เข้าใจแหละว่านี่มันคือหนังผจญภัยตามล่ามหาสมบัติ แต่ก็ต้องทำให้เหตุการณ์ในเรื่องมันมีคำอธิบายที่เข้าท่านิดนึง ไม่งั้นคนดูเขาจะปะติดปะต่อเรื่องแล้วสนุกไปกับหนังได้ไง

การกระทำของตัวละครแทบทุกตัวดูไม่มีเหตุผล เหตุการณ์หลายอย่างก็ดูงงว่าทำไมพวกพระเอกถึงรอดจากตัวร้ายมาได้ แล้วทำไมตัวร้ายต้องทำอะไรแบบที่ทำไปด้วยล่ะ ส่วนปมใหญ่ในเรื่องที่ปูเอาไว้ซะสำคัญตั้งแต่ทีแรกก็ใช้วิธีอธิบายแบบขอไปที หรือไม่งั้นก็ตีเนียนไม่พูดถึงมันไปซะเลย เรื่องไม่มีเหตุผลพวกนี้มันก็ส่งผลให้คนดูไม่อินกับหนังและไม่อินกับตัวละครในเรื่องน่ะสิ ถึงขนาดที่ว่าเพิ่งเดินออกมาจากโรงหนังก็คงจะลืมชื่อตัวนางเอก เด็กผู้ช่วย วายร้าย ตัวประกอบ ฯลฯ ไปหมดแล้ว จำได้แค่พระเอกชื่อ "อินเดียน่า โจนส์" ซึ่งมันก็อยู่บนปกหนังอยู่แล้วไง

...


และยิ่งคุณนั่งดูไปนานๆ คำถามว่า "อะไรกันวะ?" ในหัวก็จะยิ่งตะโกนดังขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ จนตอนสุดท้ายมันก็จะกลายร่างเป็นประโยคประมาณว่า "เออ! ช่างมันเหอะ" อยากใส่อะไรเข้ามาให้ดูก็เอาที่สบายใจเลยละกัน ซึ่งเมื่อใดที่สมองคุณเข้าถึงโหมดนี้ได้ หนังภาคนี้ก็จะมีความบันเทิงขึ้นเป็นอย่างมาก สรุปคือโยนตรรกะและเหตุผลทิ้งถังขยะไปให้หมด และให้เร็วที่สุด แล้วคุณจะสามารถเพลิดเพลินไปกับอินดี้ภาค 5 ได้อย่างแท้จริง (แต่ต้องโยนทิ้งให้หนัก โยนให้เยอะกว่าทั้ง 4 ภาคที่เคยดูมาอีกนะ สู้ๆ)

ใครจะไปรู้ ในอนาคต "อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา" อาจจะกลายเป็นหนังฮิตในหมู่แฟนก็ได้ เพียงแต่มันคงไม่ได้ฮิตในฐานะหนึ่งในภาคที่ดีที่สุด แต่น่าจะเข้าข่ายฮิตเพราะมันเป็นอินเดียน่า โจนส์ภาคที่ประหลาดที่สุดซะมากกว่า ภาคที่เอาไว้เปิดดูกับเพื่อนได้บ่อยที่สุดเวลาอยากหาอะไรฮาๆ ทำ ภาคที่ดูตอนนั่งก๊งเบียร์แล้วเอานิ้วชี้จุดจับผิดได้มันที่สุด ตราบใดที่คุณพกแค่แส้กับหมวกคาวบอย แต่ไม่ได้พกเหตุผลไปด้วยตอนผจญภัย อะไรๆ ก็ดูสนุกได้หมดแหละ

Photo source: www.imdb.com, Lucasfilm Ltd./Lucasfilm Ltd. - © 2023 Lucasfilm Ltd. & TM. All Rights Reserved.