โรคไข้เลือดออก โรคยอดฮิตในช่วงเข้าฤดูฝนที่มักระบาดในประเทศไทย ภัยอันตรายถึงชีวิตที่ควรระวัง มีสถิติพุ่งสูงขึ้นเกือบ 10 เท่าในไตรมาส 1 ในปี 2566 ของประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2565

โรคไข้เลือดออก เป็นหนึ่งโรคที่ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ และอาจลามไปถึงชีวิตได้ หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที ซึ่งเกิดจากไวรัสเดงกี (Dengue Virus) มาจากยุงลายที่เป็นพาหะมาสู่มนุษย์ มักระบาด และพบเจอได้บ่อยในประเทศเขตร้อน ที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น โดยจะระบาดหนักในช่วงฤดูฝน ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่ควรเฝ้าระวัง เพราะในปัจจุบันปี 2566 นี้ มีผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกจำนวนมาก

รายงานจากภาวะสังคมไตรมาสที่ 1/2566 ของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ระบุว่า ‘โรคไข้เลือดออก’ อยู่ในอันดับ 2 ของตารางจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวัง เป็นรองเพียงแค่โรคปอดอักเสบเท่านั้น ซึ่งสถิติพุ่งสูงขึ้นกว่าปี 2566 เกือบ 10 เท่าในไตรมาสแรก จากสถิติคาดการณ์ว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนในเดือนมิถุนายนนี้ เปรียบเทียบด้วยสัดส่วน อาจจะมียอดผู้ป่วยอาจพุ่งสูงกว่าปี 2565 ด้วยสถิติดังต่อไปนี้

สถิติผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในปี 2566 ไตรมาสที่ 1

  • ไตรมาส 1 : จำนวน 10,948 ราย

สถิติผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในปี 2565

  • ไตรมาส 1 : จำนวน 1,461 ราย
  • ไตรมาส 2 : จำนวน 9,485 ราย
  • ไตรมาส 3 : จำนวน 19,625 ราย
  • ไตรมาส 4 : จำนวน 14,574 ราย

กลุ่มเสี่ยงของโรคไข้เลือดออก 

โรคไข้เลือดออก สามารถติดต่อได้ในทุกเพศทุกวัย โดยจะติดต่อ และพบได้บ่อยในกลุ่มเด็ก, กลุ่มผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีโรคแทรกซ้อน, ผู้หญิงตั้งครรภ์, ผู้ที่เป็นโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่าย เป็นต้น

...

สาเหตุของการติดต่อโรคไข้เลือดออก

ผู้เป็นโรคไข้เลือดออกไม่สามารถติดต่อได้จากคนสู่คน แต่มักจะติดต่อจากยุงลายเพศเมียที่นำไวรัสจากการดูดเลือดที่มีเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ได้แก่ DENV - 1, DENV - 2, DENV - 3 และ DENV - 4 เข้าสู่ผนังกระเพาะอาหาร และเดินทางเข้าสู่น้ำลายของยุง โดยมีระยะฟักเชื้อประมาณ 8 - 12 วัน และหากถูกกัดในระยะเวลานี้จะฟักตัวในคน หลังถูกกัดเป็นเวลา 3 - 15 วัน โดยประมาณ

อาการของโรคไข้เลือดออก

อาการของโรคไข้เลือด (ไวรัสเดงกี) จะสังเกตอาการได้ยาก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง และรู้สึกเหมือนป่วยเป็นไข้ธรรมดาเท่านั้น 

โดยอาการเริ่มต้นจะมีไข้ และสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ 38.5 ไปจนถึง 41 องศาเซลเซียส มีอาการปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระดูก เบื่ออาหาร มีผื่นตามตัวร่วมด้วย 

อาการขั้นวิกฤติยังคงมีอาการเบื่ออาหาร ปวดกระดูก เบื่ออาหาร มีผื่นตามตัว แต่สิ่งที่สังเกตได้ดี คือ ไข้จะลดลงไวอย่างผิดปกติ ซึ่งการติดเชื้อไข้เลือดออกจะทำให้โครงสร้างของเกล็ดเลือดจะต่ำลง เลือดออกง่าย และเกิดอาการช็อกจากภาวะการไหลเวียนเลือดล้มเหลว ซึ่งอาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ถึง วันที่ 8 ของการติดเชื้อ ทำให้สู่การเสียชีวิตได้ทันที

ดังนั้นแล้วหากมีไข้สูง ไม่ควรละเลย และรีบพบแพทย์ในทันที เพื่อตรวจวินิฉัยโรคต่อไป โดยแพทย์จะตรวจหาเชื้อไวรัสในเลือด และความเข้มข้นของเลือด และอาจมีการให้น้ำเกลือเพื่อฟื้นฟูรางกายเบื้องต้น ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันได้ 100% และยังไม่มียาต้านทานโรคไข้เลือดออก ต้องคอยประคับประคองโรคทำให้การรักษานั้นต้องอยู่ในการดูแล และติดตามของแพทย์อย่างใกล้ชิด

วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกเบื้องต้น

  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำ และยุงลาย โดยการหมั่นเทน้ำที่ขังในภาชนะต่างๆ ทิ้ง และเปลี่ยนน้ำเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงแหล่งที่อยู่ของยุงลาย เช่น แหล่งน้ำขัง สถานที่ที่มีความชื้น และการเดินเข้าป่า เป็นต้น
  • ระมัดระวังไม่ให้ยุงกัด ด้วยการสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดเวลานอน กางมุ้ง และใช้สารไล่ยุง
  • ฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ในปัจจุบันสามารถป้องกันเชื้อไวรัสเดงกี และสามารถบรรเทาอาการให้เบาลงได้ ซึ่งจะเห็นผลได้ดีในเด็กที่มีอายุมากกว่า 6 ปี, ผู้ใหญ่ และผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกี หรือเป็นไข้เลือดออกมาแล้วเท่านั้น ทำให้ก่อนรับวัคซีนควรปรึกษาแพทย์อย่างถี่ถ้วน

ข้อมูล : กรมควบคุมโรค