พูดคุยกับ คุณกฤษฎา กฤษณะเศรณี เจ้าของผลงาน อาร์ตทอย เวเดอร์ ของเล่นชื่อดังสุดหายาก ในแง่มุมพัฒนาการของวงการของเล่นในประเทศไทย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าวงการของเล่นในไทยกำลังเติบโต และพัฒนาไปอย่างมาก โดยเฉพาะ อาร์ตทอย ของเล่นที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในปัจจุบัน อาร์ตทอย (Art Toy) คือ ของเล่นที่ถูกสร้างขึ้นโดยศิลปิน ใช้การสื่อสารออกมาเป็นตัวละคร หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ตามคาแรกเตอร์ของศิลปินบุคคลนั้นๆ ซึ่งมีการผลิตในหลายรูปแบบ ทั้งทำมือ สั่งผลิตจากโรงงาน ทำให้มีจำนวนจำกัด และมีมูลค่าตามความต้องการ และความนิยมจากศิลปิน
อาร์ตทอย ถูกนำไปต่อยอดไอเดีย โดยนำแนวคิดจาก กาชาปอง (Gachapon) และไบลด์บ็อกซ์ (Blind Box) จากประเทศญี่ปุ่น และประเทศจีน ไปเพิ่มมูลค่าทางการตลาด ให้เป็นของเล่นที่ต้องสุ่ม ไม่สามารถเลือกได้ เพื่อเป็นกลยุทธ์การตลาด และสร้างมูลค่าจากของเล่นให้มีมากขึ้น โดยใช้ความนิยมของตัวละคร หรือศิลปินท่านนั้น, ความหายากของสินค้า, จำนวนที่ผลิตจำกัด ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มูลค่าของของเล่นอาร์ตทอยนั้นสามารถขยับขึ้นลงได้ตลอดเวลา จึงเป็นที่ชื่นชอบ กระแสของนักสะสม และนักลงทุนเป็นอย่างมากในประเทศไทย และทั่วโลก
ในปัจจุบันมีศิลปินหลายท่าน เริ่มหันมาทำงานกับวงการของเล่นมากขึ้น เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ดี และหลากหลาย ใครมีผลงานที่ดีก็สามารถเติบโต และเข้าไปสู่ลายผลิตที่ใหญ่ขึ้นด้วยการเซ็นสัญญากับบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตของเล่นที่ตนออกแบบ บางรายทำงานอาร์ตทอยเป็นงานอดิเรก สร้างผลงานเอง โดยนำไอเดียและจินตนาการจากสิ่งที่ตนเองชอบมาต่อยอด ซึ่งไอเดียงานอาร์ตทอยที่ได้รับกระแสตอบรับดีที่สุด และเข้าถึงทุกช่วงอายุ คือ “อาร์ตทอยที่นำมาผสมผสามกับความเชื่อ”
โดยอาร์ตทอยในรูปแบบนี้ คือ การนำเอาความเชื่อในศาสนา หรือลัทธิต่างๆ มาผสมผสานกับตัวการ์ตูน หรือสัญลักษณ์งานของตนเองให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งทำให้ของเล่นเหล่านี้ นอกจากจะเป็นของสะสมแล้ว ยังสามารถนำมาบูชาและเป็นของขลัง เครื่องรางได้จริงอีกด้วย เช่น แมวกวัก, พระพุทธรูปลายการ์ตูน และผ้ายันต์ลายตัวการ์ตูน ทำให้งานแนวนี้ร่วมสมัย ถูกอกถูกใจวัยรุ่นอยู่ไม่น้อย
...
ไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ เจ้าของผลงานอาร์ตทอยสายมูสุดฮิต อย่าง หลวงปู่พระพุทธรูปดาร์ธ เวเดอร์ “กฤษฎา กฤษณะเศรณี (คุณเอ๋)” ในหัวข้อ “ของเล่นสายมู กับความเชื่อร่วมสมัยของชาวไทย”
จุดเริ่มต้นของ กฤษฎา กฤษณะเศรณี หรือ คุณเอ๋ ก่อนจะมาเป็น ศิลปินผู้คลั่งไคล้อาร์ตทอย เคยทำงานในวงการสื่อมาแล้วเกือบทั้งหมด ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และความอิ่มตัว ทำให้เริ่มหันมาเข้าวงการในการผลิตข้าวของเครื่องใช้ เป็นการลองผิด ลองถูก ฝึกฝนตนเองในการใช้งานเทคโนโลยี 3D ปรินต์ที่มีจนเกิดความสนใจมากขึ้น และศึกษาเพิ่มเติม จึงเป็นที่มาของผลงานอย่าง “พ่อปู่ฤาษีเวเดอร์”
ชิ้นงานนี้นำกระแสความนิยมเรื่องความเชื่อ มูเตลู ในสมัยนี้มาประกอบผลงานด้วย แต่ไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นของเล่นอาร์ตทอยแต่แรก เป็นเพียงแค่แบบเพื่อไปต่อยอดทำสิ่งของต่างๆ โดยได้นำไฟล์ 3D นี้ ไปลงในกลุ่ม Star Wars Thailand Fan Club ด้วยเจตนาที่อยากได้รับคำติชม เพื่อไปพัฒนาเพิ่ม แต่กลับได้รับกระแสตอบรับที่ดี มีคนอยากได้ผลงานชิ้นนี้ จึงถูกแนะนำให้ลองผลิตเป็นสินค้าที่เรียกว่า “อาร์ตทอย” ในที่สุด
เมื่อโลกอาร์ตทอยของ คุณเอ๋ กฤษฎา กฤษณะเศรณี ได้ถูกเปิดออก ทำให้ความเชื่อ มุมมอง และทัศนคติความคิดสร้างสรรค์ในสายงานนี้ถูกจุดไฟขึ้นมา พร้อมกับความชื่นชอบในวัยเด็กในด้านการ์ตูน ภาพยนตร์ โฆษณา การถ่ายภาพ ของเล่น ได้พรั่งพรู ทำให้เริ่มชอบ และตื่นตาตื่นใจในวงการอาร์ตทอยอย่างมาก เพราะไม่มีขอบเขตในความคิดสร้างสรรค์ผลงาน เราสามารถนำสิ่งที่เราชอบ และตัวตนของเราแสดงออกมาผ่านผลงานที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ แถมสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แนวคิด ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘ความเชื่อ’ เริ่มมาได้อย่างไร
สมัยก่อนที่เข้าวงการ มีศิลปินทำงานอาร์ตทอยที่ใช้คอนเซปต์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และความเชื่อมีอยู่น้อยมาก โดยงานของเราได้เริ่มจาก “พ่อปู่ฤาษีเวเดอร์” ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ตรงใจคน เพราะเราได้นำกระแสความเชื่อ ความนิยม และมูเตลูมาร่วมด้วย ทำให้ตัวเราเป็นที่รู้จัก จึงสนใจที่จะมุ่งเน้นผลงานไปในแนวทางนี้เรื่อยมา เพื่อเป็นลายเซ็นของตนเอง แต่งานบางส่วนนั้นก็ไม่ใช่จะมุ่งเน้นไปในเรื่อง ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘ความเชื่อ’ เป็นหลัก แต่จะมุ่งเน้นไปกับ “กระแส” สังคมร่วมด้วย
...
ถูกต้องที่งานของเราจะเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และความเชื่อเป็นหลัก จนเป็นลายเซ็นของเรา แต่ช่วงแรกหากทำงานที่อยู่ในกรอบอาจจะทำให้เราจะปิดโอกาสในการพัฒนา และสร้างสรรค์ไอเดียของตนเองได้ โดยบางผลงานก็จะเน้นไปตามกระแสสังคม ความนิยมในบ้านเราร่วมด้วย เช่น ผลงานเรือดำน้ำสีเหลือง, งานแดกสมบูรณ์ (อิงกับกระแสการเมือง) งานอิงกระแสเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นงานในลักษณะการล้อเลียน ซึ่งในตอนแรกๆ ของการทำงานนั้น เราชอบมากเพราะเป็นงานที่สนุก ได้นำกระแสมาสร้างสรรค์ผลงาน คนยิ่งจะสนใจ งานในลักษณะการล้อเลียนนี้ จะมีเพียงผ้ายันต์ Star wars, ผ้ายันต์ The Fast and The Furious, พวงกุญแจหลวงปู่เค็มลุยไฟ ซึ่งภาพรวมงานทั้งหมด ที่กล่าวมาเป็นงานล้อเลียนอิงกระแส ซึ่งต้องยอมรับความไม่ยั่งยืน มาแล้วก็ไป
หลังจากรับประสบการณ์ต่างๆ มาเราก็เริ่มเรียนรู้ และรังสรรค์ผลงานให้มีความศักดิ์สิทธิ์ และความเชื่อมากขึ้น ล้อเลียนน้อยลง เพราะว่า เรามักจะชอบนำกระแสมารวมกับผมงานเสมอ โดยเน้นการเสียดเสียด และล้อเลียนให้น้อยลง ให้เกียรติผลงาน และเคารพงานให้มากขึ้น เรามักจะทำ ‘กระแส’ มาเป็นแนวคิดเริ่มต้น และชูความเป็นเอกลักษณ์ทางความเชื่อ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เด่นกว่า ซึ่งมันทำให้อาร์ตทอยเหล่านี้เป็นสิ่งของที่น่าสะสม และเป็นผลงานที่จะคงอยู่ตลอดไป เมื่อผ่านกาลเวลาก็จะมีคุณค่าต่อจิตใจ และไม่มีช่วงเวลาที่ความต้องการต่อการสะสมตกลงไปเหมือนงานที่ผ่านมาก่อนๆ
...
ยากไหมที่ต้องทำงาน ในแนวคิดกระแสความเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่บางคนมองว่าเป็นการ “ลบหลู่”
เราต้องทำความเข้าใจว่าสังคมไทยในปัจจุบัน ได้เกิดช่องว่างระหว่างคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน และคนยุครุ่นใหญ่ กันอย่างน่าตกใจ ซึ่งมีความคิดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนทำงานศิลปะในไทยส่วนใหญ่ มักจะมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ครูบาอาจารย์ อยู่แล้วอย่างแน่นอน เมื่อจะสร้างผลงานในลักษณะที่มีส่วนเชื่อมโยงไปสู่งาน พุทธศิลป์ และพุทธพาณิชย์ จึงต้องให้เกียรติในผลงานดังกล่าวไปพร้อมๆ กับคำนึงถึงข้อห้าม และบริบททางวัฒนธรรม สังคม ศาสนา ว่าสิ่งใดควรทำ ไม่ควรทำ และไม่ทำออกมาในเชิงล้อเลียน เสียดสี
ทำให้งาน “พ่อปู่ฤาษีเวเดอร์” พยายามหาทางที่จะไม่ให้งานสื่อออกไปว่า “เป็นพระพุทธรูป” ซึ่งเป็นประเด็นที่หนีไม่พ้นที่จะนำพาไปสู่การเกิดคำถามและดราม่า ที่เชื่อมโยงไปถึง “การล้อเลียนต่อความเชื่อ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสังคมไทย” จึงใช้เวลาทำการบ้านอยู่นานที่จะหานิยาม และอัตลักษณ์ที่เฉพาะเจาะจงลงไปในงานชิ้นนี้ จนนำมาสู่ชื่อผลงาน คือ “ฤาษี” เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าการจะเรียกชื่อฤาษีนั้น ไม่มีความรุนแรง หรือกระทบต่อจิตใจ ของผู้ได้ยิน ซึ่งถือเป็นความลงตัว เพราะเราก็นับถือและให้เกียรติท่านดั่งครูบาอาจารย์ทางจิตวิญญาณ เพราะงาน “คือฤาษี ไม่ใช่พระพุทธองค์” ซึ่งต้องใช่ระยะเวลานานพอสมควร จนทุกคนเห็นว่านี่คือฤาษี ไม่ใช่พระพุทธองค์ ทำให้ไม่เกิดข้อขัดแย้ง
การที่ผลงานไม่สร้างความขัดแย้ง และมุมมองที่เป็นลบต่อทั้งตัวศิลปิน และผลงานที่ออกมา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี สามารถเอาแนวคิดนี้ไปสร้างสรรค์งานอื่นๆ ต่อไปในอนาคตได้ ซึ่งดีกว่าทำงานออกมาแล้วจะต้องมานั่งแก้ปัญหา แก้ข้อพิพาททางสังคมอาจเกิดขึ้นได้ เพราะปัจจุบันกระแสโซเชียลสามารถนำสู่การก่อเกิดดราม่าได้ง่าย
...
“พ่อปู่ฤาษีเวเดอร์” และ “พระพิฆเนศเซน” งานอาร์ตทอยสุดโปรด
เนื่องจากอย่างที่ทราบกันดี “พ่อปู่ฤาษีเวเดอร์” เป็นผลงานชิ้นแรกที่ประสบความสำเร็จ และได้กระแสตอบรับที่ดีที่สุด และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ก้าวเข้าสู่วงการอาร์ตทอยอย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นผลงานที่จะไม่ผลิตซ้ำอีก เป็นคุณค่าทางใจของผู้ที่ได้เก็บสะสมผลงาน ที่ได้รับปากไว้แล้วว่าจะไม่มีการผลิตซ้ำ และเป็นความซื่อสัตย์ต่อผู้สร้างผลงานศิลปะอีกด้วย
“พระพิฆเนศแนวทางเซน” ได้รับแนวคิดมาจาก “เทพโซจิ” จากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นหินแกะสลัก พบเห็นได้ตามป่าเขา ชายป่า เส้นทางการเดินทางเป็นความเชื่อเรื่องการคุ้มครองผู้เดินทาง ให้เดินทางอย่างปลอดภัย โดยผลงานนี้เป็นการนำเทพจิโซมาผสมผสาน กับพระพิฆเนศจากงานออกแบบของญี่ปุ่นให้ความเรียบง่าย สงบ ตัดสิ่งรบกวนต่างๆ เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ผม และคนอื่นๆ ชื่นชอบ
ความรู้สึก และความคิดเห็นต่อกระแสอาร์ตทอยในประเทศไทย
อาร์ตทอย ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากๆ ต่อผู้ทำงานศิลปะในการเสนอความคิด และงานศิลปะ รวมทั้งยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สร้างรายได้ส่งต่อไปให้กับผู้ทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมอีกรูปแบบหนึ่งในประเทศไทยที่ไม่ได้นิยมมากนักให้กลับมามีรายได้อีกครั้ง
รวมทั้งด้านกระแสก็ถือว่ามีความสร้างสรรค์ และสร้างความเชื่อมโยงได้อย่างดี โดยเฉพาะกระแสที่กำลังร้อนแรง ในการวางอาร์ตทอยให้เป็นสินค้าเครื่องรางของขลัง และเครื่องประดับโดยตรง ส่งผลให้แบรนด์ต่างๆ นั้นประสบความสำเร็จมาแล้ว
การตลาดที่ดีเกินคาด ผลเนื่องมาจากกระแสในปัจจุบัน ทำให้ความนิยมที่จะเก็บสะสมเฉยๆ ให้เปลี่ยนบริบทไปเป็นของตกแต่งบ้าน หรือเครื่องรางของขลังที่ดูไม่เชย แปลกใหม่ และทันสมัย ดังตัวอย่าง เช่น เปลี่ยนจากพระพุทธรูปในบ้าน มาเป็นอาร์ตทอย (ปลุกเสกแล้ว) เพื่อการบูชา ควบคู่ไปกับการประดับ ตกแต่ง ประดิษฐานในบ้านให้มีสไตล์มินิมอลมากขึ้น รวมทั้งการนำไปตกแต่ง คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่มีความนิยม ไม่ต่างจาก แบร์บริก (Bearbick) ที่มีความนิยมสะสม หรือนำมาตกแต่งเช่นเดียวกัน แถมราคาย่อมเยากว่าอีกด้วย
สุดท้ายนี้จุดเด่นของ “อาร์ตทอย” สามารถเป็นซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่น่าสนใจขึ้นมาได้ หากมีหน่วยงาน หรือแม้แต่ “วัดต่างๆ” ได้ลองพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์อาร์ตทอยขึ้นมา เป็นงานศิลปะร่วมสมัย เช่น เครื่องรางของขลัง หรือจุดเด่นของสถานที่นั้นๆ ก็จะสามารถนำไปสู่การสร้างรายได้ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดังที่มีโปรเจกต์การผลิตอาร์ตทอยในรูปแบบกาชาปอง ที่เคยมีจำหน่ายในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นอาร์ตทอยสิ่งปลูกสร้างชิ้นเล็กๆ ไปจนถึงตุ๊กตาหุ่นอับเฉาถ่วงท้องเรือสำเภาของวัดโพธิ์ ที่เป็นกระแสให้ตามสะสม รวมถึงการทำธุรกิจอาร์ตทอยของแบรนด์เครื่องประดับ หรือเครื่องรางของขลังที่เคยประสบความสำเร็จจากผลิตภัณฑ์อาร์ตทอยมาแล้ว
ภาพ : aey_krishda_krishnaseanee