วัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) หรือ วัคซีนโควิดรุ่นใหม่ (Gen 2) เริ่มนำมาใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่มากขึ้น สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิดรุ่นนี้จะมีผลข้างเคียงเหมือนหรือต่างจากวัคซีนรุ่นเก่าอย่างไร
วัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) คืออะไร
วัคซีนโควิด ไบวาเลนต์ หรือที่เรียกกันว่าวัคซีนโควิดรุ่นใหม่ (Gen 2) เป็นวัคซีน 2 สายพันธุ์ ประกอบด้วยสารพันธุกรรม mRNA ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม (Wuhan-Hu-1) และ mRNA ของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนอย่างละครึ่ง พัฒนาขึ้นเพื่อฉีดเป็นเข็มกระตุ้นให้การป้องกันที่กว้างขึ้นจากโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ที่สามารถแพร่เชื้อได้และภูมิคุ้มกันหลบเลี่ยงได้ดีกว่าสายพันธุ์เก่า นอกจากนี้วัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) ยังช่วยฟื้นฟูการป้องกันที่ลดลงตั้งแต่การฉีดวัคซีนครั้งก่อนอีกด้วย ซึ่งทั้งไฟเซอร์และโมเดอร์นา ต่างก็พัฒนาวัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) มารองรับด้วยเช่นกัน
...
และจากการกลับมาระบาดอีกรอบของโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย XBB.1.16 หรืออาร์คตูรุส ในช่วงหลังสงกรานต์ ทำให้ประชาชนตื่นตัวในการฉีดวัคซีนโควิดเพื่อเป็นเข็มกระตุ้นกันมากขึ้น หลังจากที่ซาไปสักระยะในช่วงที่สถานการณ์โควิดสงบเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีหลายแห่งเปิดให้ฉีดวัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) ได้ แต่ก็มีหลายคนตั้งคำถามว่าผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนรุ่นใหม่นี้จะเหมือนหรือต่างจากวัคซีนรุ่นเก่าอย่างไร
ผลข้างเคียงวัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์)
สำหรับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) พบว่ามีอาการใกล้เคียงกันกับการฉีดวัคซีนรุ่นเก่าที่เป็นสายพันธุ์เดียว และไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงจากการฉีดเข็มกระตุ้นแบบสองสายพันธุ์
ไฟเซอร์
- ปวด บวม แดง คัน หรือช้ำในจุดที่ฉีด
- มีไข้ หนาวสั่น
- อ่อนเพลีย ไม่สบายตัว ครั่นเนื้อครั่นตัว
- ปวดศีรษะ
- ปวดเมื่อยตามข้อ และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องเสีย
โมเดอร์นา
- ปวด บวม เล็กน้อยถึงปานกลาง บริเวณที่ฉีด
- มีไข้ หนาวสั่น
- เหนื่อย อ่อนเพลีย
- ปวดศีรษะ
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือปวดตามข้อ
- วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน
ผลข้างเคียงเหล่านี้จะเริ่มแสดงอาการภายใน 1-2 วันหลังจากรับวัคซีน โดยอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดหรือมีไข้ได้ และควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดอาการไข้
อย่างไรก็ตาม แต่ละบุคคลอาจพบอาการที่แตกต่างกันไป บางคนอาจแค่มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย ขณะที่บางคนอาจมีอาการครบตามที่ระบุไว้
นอกจากนี้ยังไม่มีรายงานว่าพบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่อันตรายแต่เกิดน้อยในวัคซีนโควิดรุ่นแรก เบื้องต้นยังไม่มีข้อมูลนี้ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์)
...
ปัจจุบันมีหลายประเทศมีการอนุมัติใช้วัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) หรือวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดสองสายพันธุ์ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร แคนาดา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทยด้วย
การฉีดวัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) เป็นเข็มกระตุ้น จะช่วยเพิ่มความสามารถในการป้องกันโควิดจากสายพันธุ์โอมิครอน และสายพันธุ์ย่อยที่กำลังแพร่ระบาดทั่วโลกได้ดีขึ้น โดยมีความปลอดภัยสูงไม่แตกต่างจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม
กลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) เป็นเข็มกระตุ้น ประกอบด้วย
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย
- อาสาสมัครสาธารณสุข
- กลุ่มเสี่ยงเกิดอาการป่วยรุนแรง (กลุ่ม 608)
- ประชาชนทั่วไปที่มีความเสี่ยง เช่น สัมผัสกลุ่มเสี่ยง สัมผัสนักท่องเที่ยว เป็นต้น
บุคคลดังกล่าวต้องได้รับวัคซีนโควิด-19 มาแล้วอย่างน้อย 2 เข็ม จะฉีดเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 3 เดือน และเข็มที่ 4 ห่างจากเข็มที่ 3 อย่างน้อย 4 เดือน ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 มาแล้วและเคยติดเชื้อ ควรฉีดหลังติดเชื้ออย่างน้อย 6 เดือน
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกเผยว่าวัคซีนโควิด bivalent (ไบวาเลนต์) จะช่วยลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้ประมาณ 28-56% ความปลอดภัยไม่ต่างกับวัคซีนรุ่นแรกชนิด Monovalent (โมโนเวเลนต์) สามารถใช้ทั้งชนิด Monovalent และ Bivalent มาเป็นเข็มกระตุ้นได้
อ้างอิง: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, องค์กรอนามัยโลก (WHO)