ซีรีส์ "Chernobyl" (เชอร์โนบิล) กลายเป็นกระแสที่คนสนใจอีกครั้ง จากการพบกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่หายไป พร้อมเหตุผล 5 ข้อ ที่ไม่ควรพลาดในการรับชมซีรีส์นี้
เมื่อวันจันทร์กลับมาเป็นวันที่ไร้สีสันกันอีกครั้ง นอกจากจะเป็นวันทำงานวันแรก ซีรีส์สุดเข้มข้นที่ทำให้กระชุ่มกระชวยอย่าง The Last of Us (เดอะ ลาสต์ ออฟ อัส) ก็เพิ่งมาจบซีซันไปสดๆ ร้อนๆ อีก ยังไม่พอ สถานการณ์บ้านเราในตอนนี้ก็ร้อนระอุ จากข่าวรังสีเรื่อง 'ซีเซียม-137' อีก
วันนี้เราเลยอยากจะขอแนะนำทีวีซีรีส์น้ำดีอีกเรื่องหนึ่งเอาไว้ใช้ดูแก้เครียด (หรืออาจเครียดกว่าเดิม) ในวันจันทร์ ซีรีส์ที่อิงจากเหตุการณ์จริงในปี ค.ศ. 1986 ชื่อว่า "Chernobyl" (เชอร์โนบิล) ซีรีส์ที่เหมาะกับการดูช่วงนี้ซะเหลือเกิน ซีรีส์ที่พกไฮไลต์เด็ด 5 ข้อที่จะทำให้คุณอยากกดเข้าไปดูเรื่องนี้โดยพลัน
1. เนื้อเรื่องสุดดาร์กสุดเข้มข้น
จริงอยู่ที่ Chernobyl (เชอร์โนบิล) เป็นซีรีส์ที่อิงจากเหตุวิกฤตินิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ผู้กำกับเขาเลือกวางลำดับเหตุการณ์ที่เล่า และถ่ายทอดเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวละครจากมุมต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ
ทั้งจากคนที่เป็นเหมือนตัวต้นเหตุ นักวิทยาศาสตร์ที่ยอมแลกชีวิตเพื่อยับยั้งเหตุวิกฤติ คนทำงานระดับล่างที่ไม่รู้เรื่อง จนทำให้ภารกิจเก็บกู้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ตื่นเต้นและน่าติดตามจนไม่อยากกดหยุดดู ส่วนนักแสดงทุกคนก็เล่นเก่งกันแบบงัดทุกฝีไม้ลายมือมาแบบจัดเต็ม แล้วยังเล่นได้เป็นธรรมชาติมากๆ
...
2. น่ากลัวยิ่งกว่าหนังผีเรื่องไหนๆ
จุดที่น่าจะเซอร์ไพรส์มากสำหรับใครหลายคนก็คือซีรีส์เรื่องนี้น่ากลัวมากๆ มันไม่ได้น่ากลัวจากฉากตุ้งแช่แบบหนังผีทั่วไป แต่มันน่ากลัวจากบรรยากาศน่าขนลุก น่ากลัวจากความสิ้นหวังเมื่อเราได้เห็นพนักงานในโรงไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ดับเพลิง และครอบครัวแถวนั้นต้องมารับกัมมันตภาพรังสีไปแบบเต็มๆ โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วจึงค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ และทรมานทีละคน
โดยในซีรีส์จะมีฉากให้เราได้เห็นกันชัดๆ ว่าคนที่โดนรังสีหนักๆ ไปแล้วจะมีหนทางสู่จุดจบอย่างไร ซึ่งแทบทั้งหมดก็จบไม่สวยแน่นอน ที่สยองที่สุดคือพวกเขาเหล่านี้มักไม่มีอาการอะไรในทีแรก แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็จะอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็วจากแผลพุพองทั้งภายในและภายนอกร่างกาย สุดท้ายพวกเขาก็ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวเพราะหมอไม่สามารถปล่อยให้ญาติเข้ามาแตะต้องตัว จนปนเปื้อนรังสีไปด้วยได้ แล้วคุณจะรู้ว่าการรั่วไหลของรังสีนี่แหละ ที่น่ากลัวกว่าภูตผีปีศาจตนไหนๆ
3. เห็นผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสีแบบคร่าวๆ
เนื่องจากตัวซีรีส์กล่าวถึงเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และรังสีเอาไว้ค่อนข้างละเอียด จึงทำให้มันถ่ายทอดเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องความอันตราย วิธีป้องกัน และวิธีหลีกเลี่ยงรังสีเอาไว้ในเรื่องพอสมควร
รวมไปถึงเรื่องการปนเปื้อนรังสีในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่เสื้อผ้า ระหว่างร่างกายของมนุษย์ด้วยกัน หรือแม้แต่เมฆฝน ประเภทของวัสดุที่พอจะช่วยป้องกันการแผ่กัมมันตภาพรังสีปริมาณมากได้ (ต้องระดับโลงเหล็กหนาเป็นนิ้ว ไม่ก็บังเกอร์ฉาบปูนใต้ดิน) และวิธีการป้องกันการปนเปื้อนด้วยการปิดบ้านหรือใส่เสื้อผ้าแบบมิดชิดปิดหมด และมันยังทำให้เราตระหนักด้วยว่าการขจัดรังสีที่ปนเปื้อนปริมาณมากทำได้ไม่ง่าย เพราะส่วนใหญ่มันจะคงอยู่เกินหนึ่งชั่วอายุคนแน่ๆ กว่าจะย่อยสลาย
4. รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของโศกนาฏกรรมเชอร์โนบิล
เชื่อว่าหลายคนคงต้องเคยได้ยินชื่อโรงงาน Chernobyl (เชอร์โนบิล) มาบ้างแล้ว แต่คาดว่าส่วนใหญ่น่าจะไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง ลำดับเหตุการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้น เและผลกระทบทั้งระยะสั้นระยะยาวของมันที่มีต่อคนในพื้นที่ (หรือแม้แต่คนทั้งโลก)
...
การดูซีรีส์เรื่องนี้จึงเหมือนการได้ดูสารคดีข่าวไปในตัว เพราะทีมสร้างเขาค้นคว้าข้อมูลมาได้อย่างค่อนข้างละเอียด และเขายังรู้จักเลือกประเด็นที่จะเล่าได้ดี เล่าได้อย่างเข้าใจง่าย กระชับ และสนุก เผลอแป๊บเดียวคุณก็น่าจะดูรวดเดียวจบครบ 5 ตอนแล้ว
5. แฉผลลัพธ์ของรัฐคอร์รัปชันซะเห็นภาพ
บทเรียนสำคัญที่น่าจะได้จากการดูซีรีส์เรื่องนี้คือพลังงานนิวเคลียร์มีคุณประโยชน์มหาศาลก็จริง แต่เพราะความเละเทะ (และความเบียว) ของมนุษย์เรานี่แหละ ที่มักทำให้มันกลายเป็นวิกฤติการณ์ระดับโลก สุดท้ายต้นเหตุของการระเบิดก็มาจากความชุ่ยของคนที่หวังแต่จะไต่เต้าในสายอาชีพของตัวเอง
รวมทั้งระบบเส้นสายในองค์กรที่ทำให้กระบวนการทำงานมันเละเทะไปหมด ซ้ำร้ายยังมีหน่วยตำรวจลับที่คอยดักปิดปากคนที่ออกมาพูดไม่เข้าหูภาครัฐอีก จนทำให้ปัญหายิ่งลุกลามและแก้ได้ล่าช้า ซึ่งสุดท้ายคนที่ซวยที่สุดก็คือประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และเจ้าหน้าที่หน้างานที่ต้องยอมแลกชีวิตให้คนส่วนใหญ่รอดนั่นแหละ แต่ที่ตลกคือสุดท้ายมันก็กลายมาเป็นสำคัญที่ทำให้รัฐคอร์รัปชันต้องล่มสลายด้วยเช่นกัน
...
สรุปง่ายๆ ว่าต้นเหตุของความหายนะทั้งหลายทั้งปวงที่เหล่าประชาชนตาดำๆ ต้องได้รับผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสีของ Chernobyl (เชอร์โนบิล) ก็มาจากความมักง่ายและเห็นแก่ตัวของเจ้าหน้าที่รัฐเพียงไม่กี่คน (คุ้นๆ เหมือนแถวนี้ไหมนะ)
เรียกได้ว่าซีรีส์ "Chernobyl" (เชอร์โนบิล) เป็นเรื่องราวทริลเลอร์ที่ให้ฟีลดาร์กๆ หม่นๆ เข้มข้น ไม่ต่างจากซีรีส์ยอดฮิต The Last of Us ที่เพิ่งจบไปเลย (ก็ใช้ผู้กำกับคนเดียวกันนี่นา) ดังนั้นคอซีรีส์สไตล์นี้ห้ามพลาด
ขอบคุณภาพ: https://www.hbo.com/chernobyl