จากกรณีที่ดาราสาว ใหม่ - สุคนธวา เกิดนิมิตร ตรวจพบ “ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง” ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่อาจเป็นมะเร็งปากมดลูกในอนาคตได้ เรามาทำความรู้จักภาวะนี้ให้มากขึ้น

ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง คืออะไร

สำหรับ “ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง” ที่ดาราสาวตรวจพบคือมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก โดยพบภาวะเนื้อบริเวณมดลูกผิดปกติ อยู่ในระยะขั้น 3 คือขั้นสูงสุด ซึ่ง รศ.นพ.ชัยยศ ธีรผกาวงศ์ ภาควิชาสูติศาสตร์–นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้อธิบายถึงภาวะก่อนเป็นมะเร็งของปากมดลูกไว้ดังนี้

เมื่อผู้หญิงได้รับเชื้อเอชพีวี ซึ่งเกือบทั้งหมดได้มาจากการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนใหญ่ร่างกายจะสามารถจำกัดมันไปได้เองประมาณ 90% ภายในเวลา 6-12 เดือน ถ้าเชื้อเอชพีวียังคงอยู่อาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุปากมดลูกให้กลายเป็นเซลล์ผิดปกติ คือ เป็นระยะก่อนเป็นมะเร็งซึ่งแบ่งเป็น 3 ระยะ

ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง ระยะที่ 1 มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ประมาณ 1 ใน 3 ของชั้นล่างของเยื่อบุผิวปากมดลูก ซึ่งระยะนี้ผู้ป่วยประมาณ 80% จะหายจากโรคนี้ไปได้เองในระยะเวลาประมาณ 1 ปี การตรวจพบภาวะนี้จากการส่องกล้องขยายปากมดลูกหรือการตัดชิ้นเนื้อตรวจ ในครั้งแรกอาจจะไม่ต้องการรักษาอะไรเลย เพียงการนัดตรวจติดตามเป็นระยะๆ ก็เพียงพอ แต่ถ้าพบว่ายังคงมีรอยโรคเหลืออยู่การรักษามีหลายวิธี เช่น การจี้เย็น จี้ด้วยไฟฟ้า หรือเลเซอร์ ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกัน หรืออาจจะใช้การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยก็ได้ โดยขึ้นกับการตรวจพบและดุลยพินิจของแพทย์

ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง ระยะที่ 2 จะมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุปากมดลูกถึง 2 ใน 3 จากชั้นล่าง และภาวะก่อนเป็นมะเร็ง ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดจะพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ตลอดความหนาของเยื่อบุปากมดลูก ในระยะนี้แพทย์มักจะให้คนไข้เข้ารับการรักษาเลย เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะพัฒนากลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ในที่สุด โดยใช้วิธีการรักษาแบบเดียวกับการรักษาขอภาวะก่อนเป็นมะเร็ง ระยะที่ 1

...

ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง ป้องกันได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง กว่าที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูกมักจะใช้เวลายาวประมาณ 10 ปี ความผิดปกติเหล่านี้สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยวิธีแปป สเมียร์ (Pap smear) ปีละ 1 ครั้ง และถ้าสามารถตรวจพบในระยะนี้การรักษาโรคจะทำได้ง่าย มีค่าใช้จ่ายต่ำ และมีโอกาสหายจากโรคเกือบ 100% นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนของการรักษาค่อนข้างต่ำ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยังอาจเก็บมดลูกไว้เผื่อสำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคตได้ แต่ก็ยังจำเป็นจะต้องรับการตรวจติดตามหลังการรักษาตามแพทย์นัดทุกครั้ง

ข้อควรรู้ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

1. ผู้หญิงควรเริ่มการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก หลังเริ่มมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 3 ปี หรือเมื่อมีอายุครบ 21 ปี

2. ระยะห่างของการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก ถ้าเป็นการตรวจด้วยวิธีแปป สเมียร์ (Pap smear) ควรทำทุกปี แต่ถ้าตรวจด้วย liquid-based cytology ควรตรวจทุก 2 ปี

3. ถ้าผลการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก เป็นปกติติดต่อกัน 3 ครั้ง และไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก เช่น มีประวัติเคยได้รับยาคุมฉุกเฉิน, มีการติดเชื้อ HIV หรือมีภูมิต้านทานบกพร่องจากการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือได้รับยาเคมีบำบัด, สูบบุหรี่, มีคู่นอนหลายคน, มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นต้น อาจจะเว้นระยะห่างของการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกเป็นทุก 2-3 ปี

4. ในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ, รับยาเคมีบำบัด, รับยา steroid อย่างต่อเนื่องหรือติดเชื้อ HIV ควรได้รับการตรวจปีละ 2 ครั้งในปีแรก หลังจากนั้นปีละ 1 ครั้ง

5. ผู้ที่ได้รับการตัดมดลูกแล้วไม่จำเป็นต้องตรวจมะเร็งปากมดลูก ยกเว้นผู้ป่วยที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะก่อนเป็นมะเร็ง หรือผู้ป่วยที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก ควรได้รับการตรวจภายในอีกอย่างน้อย 10 ปี

ข้อมูลอ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์