คำว่า “อย่าคิดมาก” สำหรับคนฟังบางคนแค่พูดเบาๆ ก็เจ็บ เพราะรู้สึกเหมือนคนพูดไม่ใส่ใจที่จะฟัง แล้วเราควรมีวิธีการปลอบใจอย่างไรให้มี Empathy กับคนฟังมากที่สุด

จากกระแสข่าวดราม่าบนโซเชียลที่ วู้ดดี้ พิธีกรคนดังโพสต์เฟซบุ๊กอยากรณรงค์ให้คนเลิกพูดคำว่า “อย่าคิดมาก” เพราะไม่ช่วยให้ดีขึ้น แต่เจอกระแสชาวเน็ตสวนกลับว่า แล้วจะต้องพูดยังไงให้ถูกใจ ซึ่งจิตแพทย์ได้แนะแนวทางไว้ดังนี้

“ความจริงแล้วคงไม่มีวิธีไหนที่พูดแล้วถูกใจคนฟังไปเสียหมด เพราะแต่ละคนก็มีวิธีคิดที่ต่างกัน แต่แนะนำว่าควรฟังสิ่งที่เพื่อนต้องการระบายให้มากที่สุด และต้องเป็นการฟังอย่างตั้งใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร พร้อมกับพยายามทำความเข้าใจเพื่อนไปด้วย เพราะการพูดออกไปก่อนโดยไม่ฟังสิ่งที่เพื่อนต้องการจะสื่อทั้งหมดนั้นเหมือนเป็นการตัดบทและไม่ตั้งใจฟัง” พญ.เพ็ญชาญา อติวรรณาพัฒน์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช ศูนย์สุขภาพใจ โรงพยาบาลวิมุต กล่าว

พญ.เพ็ญชาญา เผยว่า เรื่องกฎของการพูดนี้มีการศึกษาวิจัยในต่างประเทศมายาวนาน และพบว่าการปลอบใจที่ดีไม่ได้มีแค่คำพูดเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของภาษากายและน้ำเสียงประกอบด้วย ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสาร ที่มีทั้งเนื้อหา (Content) และบริบท (Context) แวดล้อมที่ต่างกัน โดยในการสื่อสาร 100% ตัวคำพูดมีผลแค่ 7% เท่านั้น ที่เหลืออีก 93% คือบริบทอื่นๆ ทั้งหมด ได้แก่ ภาษากาย 55% และโทนเสียง 38% ซึ่งสำคัญต่อความรู้สึกผู้ฟังมากกว่าคำพูด โดยวิธีการฟังอย่างมีประสิทธิภาพมี 3 ข้อด้วยกัน คือ

  1. ภาษากายคือสิ่งสำคัญ ละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสิ่งอื่นๆ แล้วหันมามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ 
  2. ตั้งใจฟังที่อีกฝ่ายพูด พร้อมทำความเข้าใจด้วยการพยักหน้าหรือทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเรากำลังตั้งใจฟัง
  3. พูดทบทวนสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ เพื่อเป็นการประมวลผลความเข้าใจของเรา และทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเราตีความสิ่งที่เขาต้องการสื่ออย่างไร

...

ดังนั้นเมื่อต้องฟังสิ่งที่เพื่อนระบาย ควรให้ความสำคัญกับการฟัง 70% และพูดแค่เพียง 30% ก็พอ โดยเป็นการฟังแบบตั้งใจอย่างไม่ตัดสิน ไม่ต้องให้คำแนะนำใดๆ เพราะการฟังอย่างตั้งใจและทำความเข้าใจอีกฝ่ายคือการเคารพซึ่งกันและกัน และนำพาไปสู่ด้านบวก

ภาษากาย เช่น การมองตาผู้ฟัง หรือการสัมผัสเพื่อปลอบโยน คือการปลอบใจที่ดีกว่าคำพูด
ภาษากาย เช่น การมองตาผู้ฟัง หรือการสัมผัสเพื่อปลอบโยน คือการปลอบใจที่ดีกว่าคำพูด

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเรื่องที่เพื่อนระบาย หรือเล่าให้ฟังแล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดศีลธรรม หรือจริยธรรม แล้วเราไม่อยากให้เพื่อนเดินในทางที่ผิด ในกรณีนี้ พญ.เพ็ญชาญา แนะนำว่า เบื้องต้นควรเปิดโอกาสให้เพื่อนเล่าสิ่งที่ต้องการระบายออกมาให้หมดเสียก่อน จากนั้นค่อยแนะนำวิธีแก้ปัญหาเป็นข้อๆ พร้อมข้อดีและข้อเสียที่จะตามมา เพื่อให้เพื่อนนำไปคิดพิจารณาและตัดสินใจเองว่าควรเลือกทางเดินแบบไหน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่มี Empathy เป็นการเอาใจเขามาใส่ใจเราได้ดีที่สุด

นอกจากนี้ ในยุคดิจิทัลที่เรามักจะสื่อสารกันผ่านตัวอักษรผ่านช่องทางแอปพลิเคชันแชตต่างๆ ในมุมของจิตแพทย์มีความเห็นว่าไม่ใช่วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพราะมีแค่คำพูดเป็นตัวอักษร ไม่ได้ยินน้ำเสียง หรือเห็นภาษากายของอีกฝ่ายว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร ทำให้ไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกของกันและกันได้

“หากเป็นเพื่อน หรือคนที่สนิทกันจริงๆ แนะนำควรโทรหากันเลยดีกว่าการพิมพ์ข้อความ เพราะน้ำเสียงที่ปลอบโยนอย่างจริงใจทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีกว่าการอ่านข้อความแน่นอน” พญ.เพ็ญชาญา ทิ้งท้าย