สมรภูมิการรบที่เกาหลีเหนือนั้นสภาพอากาศ หนาวจัดเป็นถิ่นทุรกันดาร ภูเขาโล่งเตียน ไม่มีต้นไม้กำบัง เนื่องจากเป็นสงครามที่มีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก ทหารแดงเข้าสู่สมรภูมิด้วยรองเท้าหญ้า ไม่มีเสื้อกันหนาว และมีเสบียงติดตัวน้อยมาก เพราะต้องเคลื่อนที่เร็ว

อาวุธก็มีแต่อาวุธขนาดเบาเพราะต้องปีนขึ้นเขา เฉพาะเวลากลางคืน ด้วยภูมิประเทศที่ทหารไม่คุ้นเคย และไม่สามารถสื่อสารกับประชาชนในท้องถิ่นได้เนื่องจากพูดคุยคนละภาษา จึงเป็นการรบแบบตาบอดและเป็นใบ้ด้วย

กลยุทธ์ที่จีนใช้เป็นการเคลื่อนที่ในเวลากลางคืนด้วยความรวดเร็วกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วรีบขุดหลุมเพื่อฝังตัวในหิมะ หรือแฝงตัวในถ้ำ (เหล่านี้คือ element of surprise ที่ทหารอเมริกาคาดไม่ถึง เพราะคือยุทธวิธีการฆ่าตัวตายชัดๆ)

ฝ่ายอเมริกานั้นรู้จุดอ่อนจีนดี จึงทิ้งระเบิดแบบปูพรม ชนิดเป็นตารางนิ้ว (พื้นที่ไม่ได้ใหญ่มาก) เพราะมีเครื่องบินทิ้งระเบิดจำนวนมาก แต่ปฏิบัติการเฉพาะในตอนกลางวัน
การใช้ยุทธวิธีนี้มีผลทำให้ทหารจีนแข็งตายไปเป็นจำนวนมากในช่วงแรก

...

สำหรับด้านอาหาร เนื่องจากไม่สามารถต้มน้ำและก่อไฟได้เพราะแสงไฟและความร้อนสามารถทำให้เครื่องบินและปืนใหญ่ยิงระยะไกลมาถึงได้ทันที ทหารจีนจึงต้องกินข้าวและอาหารแห้งชนิดไม่หุงโดยกินอาหารแห้ง 1 คำ กินหิมะเพื่อให้ได้น้ำ 1 คำ (มีภาพถ่ายจริงเป็นหลักฐานยืนยันในพิพิธภัณฑ์ที่จีน) และเนื่องจากเสบียงอาหาร ยุทโธปกรณ์เหล่านี้ถูกส่งจากแนวหลังคือจากประเทศจีนเท่านั้น ซึ่งอยู่ห่างไกล ต้องใช้เวลานาน ทำให้เกิดการขาดแคลน ทหารด่านหน้า จึงป่วย อดอยาก และล้มตายเป็นจำนวนมาก

ในการปะทะกันครั้งแรก ทหารอเมริกันได้บุกขึ้นเขาเพื่อยึดพื้นที่ที่ทหารจีนยึดมั่นไว้ หลังจากได้ทิ้งระเบิดปูพรมทั้งภูเขาเป็นช่วงระยะนาน พอที่แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่บนภูเขา แต่ทันทีที่ทหารอเมริกันบุกขึ้นเขาได้ครึ่งทาง ทหารจีนก็โผล่ออกจากถ้ำและหลุมต่างๆที่ขุดไว้ โดยมีหิมะปกคลุมอยู่

โดยที่ทหารอเมริกันไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้สามารถสังหารทหารอเมริกัน เป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดการตื่นตกใจแก่ฝ่ายอเมริกาอย่างยิ่ง และเป็นชัยชนะของฝ่ายจีน สมดังที่ตั้งความหวังไว้ สงครามลักษณะนี้ได้เกิดอีกหลายครั้ง เป็นเวลาอีก 2 เดือน ทำให้ทหารอเมริกันเสียขวัญ ต้องตรึงกำลังหยุดอยู่กับที่...

ในขณะที่ฝ่ายจีนมีกำลังใจขึ้นมากเพียงเวลาประมาณ 2 เดือน จอมพลแมคอาเธอร์ รับทราบถึง ความกล้าหาญของทหารฝ่ายจีนและเล็งเห็นว่าทหารฝ่ายสหประชาชาติคงต้องสูญเสียมากและน่าจะยืดเยื้อใช้เวลานานเหมือนตอน สู้รบยึดเกาะญี่ปุ่นในช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 2 จึงเสนอต่อประธานาธิบดีทรูแมน ขอใช้ระเบิดปรมาณูไปถล่มแผ่นดินใหญ่จีน เพื่อบังคับให้จีนยอมแพ้และถอนกำลัง ผู้นำอเมริกาไม่เห็นด้วย และสั่งปลดจอมพลแมคอาเธอร์ทันที ในช่วงก่อนคริสต์มาส เพราะรบแพ้เสื่อมเสียชื่อเสียงประเทศ หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนตัวแม่ทัพในสมรภูมิเกาหลีอีก 2 ครั้ง

เพราะทัพพันธมิตรถูกโจมตีให้ล่าถอยลงใต้ จนเกือบ ถึงเมืองหลวงคือ โซล ฝ่ายอเมริกาไม่คาดคิด ว่าจะเจอสถานการณ์เช่นนี้ เพราะทั้งๆที่เปลี่ยนกลยุทธ์ไปทิ้งระเบิดเส้นทางลำเลียงจากประเทศจีน มาแนวหน้าชนิดปูพรม โดยทำลายสะพาน ถนน ท่าเรือ เส้นทางรถไฟต่างๆ ลงอย่างราบคาบ แต่ฝ่ายจีนด้วยกำลังคนแนวหลังเป็นจำนวนมากช่วยกันสร้าง ซ่อมแซม แก้ไข ให้กลับมาใช้งานแบบเร่งด่วนในเวลาอันรวดเร็ว ถึงแม้จะมีการระเบิดซ้ำซาก แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถตัดขาดเส้นทางได้เด็ดขาด...

ได้แค่ทำความเสียหาย ลดจำนวน และชะลอเวลาในการขนส่งเท่านั้น

ในบรรดาความเสียหายและการล้มตายจากการทิ้งระเบิดของอเมริกา ลูกชาย ประธานเมาเซตุงชื่อ เมา อ่านอิง ซึ่งต่อสู้ในสมรภูมิแนวหน้าก็เป็นหนึ่งในนั้น แม่ทัพฝ่ายจีนปิดข่าวอยู่ 1 เดือน เพราะไม่กล้าแจ้งข่าวแก่ท่านประธานเหมาตั้งแต่แรก และเมื่อแจ้งข่าวแล้วจะขอส่งศพกลับประเทศจีน เพื่อทำพิธีในฐานะวีรบุรุษ

แต่ประธานเหมาสั่งห้ามและให้จัดการกับศพเฉกเช่นทหารราบทุกคนของจีน ซึ่งหมายถึงให้ฝังศพในที่เกิดเหตุ หรืออาจไม่ฝังเพราะไม่มีเวลาหรืออันตราย เหตุการณ์ เรื่องนี้ยิ่งกระตุ้นให้ทหารจีนและประชาชนจีนมีพลังร่วมรักชาติเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความฮึกเหิมนี้ช่วยให้การรบชนะคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ

...

ส่วนแนวหลังจีนเมื่อสงครามผ่านไประยะหนึ่ง เริ่มมีเวลาผลิตเสื้อหนาว รองเท้า อาหาร ตลอดจนอุปกรณ์อื่นๆมาสนับสนุนกองทัพมากขึ้น มีการบริจาคเงินจากทุกชนชั้นในสังคมจีน เพื่อซื้อเครื่องบินและปืนใหญ่จากรัสเซียได้จำนวนหนึ่ง ความเสียเปรียบในสงครามครั้งนี้จึงเริ่มลดลงตามลำดับ

เมื่อมีความพร้อมในการต่อสู้มากขึ้น ฝ่ายจีนจึงเริ่มตีโต้กลับ จนเมื่อการรบผ่านไป 2 ปีเศษ ฝ่ายพันธมิตรจำต้องล่าถอย เพราะมีทหารเสียชีวิตจำนวนมาก และเมื่อประเมินสถานการณ์แล้วรู้ว่าคงไม่สามารถรบชนะศึกครั้งนี้ได้แน่นอน จึงขอเจรจาสงบศึกกับจีน ขอถอยกลับมาจบกันที่เส้น 38 ทหารฝ่ายจีนไม่ยอม เพราะสถานการณ์กำลังได้เปรียบสามารถรบชนะตลอดและมั่นใจว่าจะตีพันธมิตรตกทะเลได้ แต่ถูกประธานเหมาห้ามไว้

เพราะถ้ารบต่อไปเชื่อว่าฝ่ายจีนชนะแน่แต่จะได้มาด้วยการสูญเสียอีกมากมาย และประชาชนจีนจะต้องแบกรับภาระทุกข์ยากนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ที่สำคัญจุดประสงค์ของการตัดสินใจเข้าสู่สงครามครั้งนี้เพียงเพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ไม่ว่าประเทศจีนจะอยู่ในสภาพแร้นแค้นแค่ไหนก็ไม่ยอมให้ใครคิดรังแกได้

หลังสงครามเกาหลีมีการสำรวจจำนวนทหาร ผู้เสียชีวิต ปรากฏว่า จำนวนทหารฝ่ายจีนที่เสียชีวิตจากการอดอาหารและแข็งตายจากความหนาวนั้น

มีมากกว่าการตายด้วยอาวุธร้ายแรงและทหารจากฝ่ายพันธมิตร เป็นสงครามที่ไม่มีนักกลยุทธ์สงคราม ฝ่ายไหน ชาติไหน สามารถทำนายผลสงครามได้ถูกต้อง

ความกล้าหาญ ความอดทน การยอมเสียสละ ยอมอุทิศแม้แต่ชีวิตของตัวเอง และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน ตลอดจนความสามารถของผู้นำ แม้กระทั่งวิธีการและเทคนิคที่ใช้ในการเอาตัวรอด และทำลายข้าศึกเรื่องราวเหล่านี้ได้รับการบันทึกลงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์จีน

...

หลังสงครามนายพลอเมริกันคนหนึ่งได้สรุปไว้ว่า สงครามเกาหลี สำหรับอเมริกาคือ สงครามที่ “ผิดสาเหตุ ผิดประเทศ ผิดสถานที่ และผิดเวลา” ด้วยความชื่นชมทหารจีน และแนวหลังที่ช่วยสนับสนุนฝ่ายจีนอย่างมาก.

หมอดื้อ