วันนี้เราไปเรียนรู้ “สุขที่เป็นสุดยอด” ซึ่งเป็นความสุขชั้นที่ 3 จากพระธรรมเทศนาของ ท่านพุทธทาส กันต่อนะครับ ท่านบอกว่า สุขที่กล่าวมาแล้วในชั้นที่สอง อาจทำให้สงสัยว่า จะยังมีความสุขเท่าไหนอีก ซึ่งสูงขึ้นไปกว่าการเอาชนะตนในเรื่องความรักและความอยากนั้นๆ ควรทราบว่า เท่าที่กล่าวมาแล้ว เป็นความสุขที่ยังไม่หลุดพ้นจากความโง่หลงว่า “อัตตา” คือยังมีความสำคัญตนเป็นตนอยู่ เป็นสุขอย่างอัตตา ยังต้องเวียนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังไม่อาจหยุดการเวียนว่ายไปในวัฏสงสาร สุขอย่างอัตตาจึงไม่ใช่ยอดสุข ต่อเมื่อได้ก้าวล่วงขึ้นถึงขีด “อนัตตา” จึงเป็นยอดสุข เพราะเป็นที่สุดแห่งความทุกข์

สุขประการสุดท้ายนี้ นอกจากจะไม่สู้เป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปโดยมากแล้ว ยังเป็นสุขที่ชนชั้นเหล่านั้นจะฟังไม่ออก หรือไม่เข้าใจอีกโสตหนึ่ง

“สุขอย่างอนัตตา” ก็คือ ผลของการที่นำออกเสียได้จากภายใน ซึ่งความรู้สึกสำคัญว่า “ตน” มีอยู่ เป็นอยู่ เช่นนั้น เช่นนี้ ถ้าความสำคัญว่า “ตน” มีอยู่ ตัวตนก็มีอยู่สำหรับคนผู้นั้น มีความรู้สึกว่าฉันเป็นฉัน ท่านเป็นท่าน ความรู้สึกอันนี้เกิดจากความโง่เขลา เมื่อหายโง่เขลา “ตน” ก็หายไปเอง ปรากฏเป็น “ไม่ใช่ตน ไม่มีตน (อนัตตา)” มีแต่สิ่งที่เป็นไปตามเหตุและปัจจัยของมันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกกายหรือจิตใจ (mental) ก็ตาม

เมื่อความสำคัญว่าตัวตนมีอยู่ภายใน ก็เกิดความรู้สึกว่า นี้เป็นเรา นั่นเป็นเขา เมื่อสำคัญว่าตนเป็นตนมีอยู่แล้ว ก็คลอดความสำคัญว่า “ของตน” ออกมาอีก จึงมีความรู้สึกว่า เงินของตน ทอง บุตร ภรรยา มิตร สหาย ชื่อเสียง เกียรติยศ ฯลฯ ของตนๆ สิ่งที่ตนต้องบริหารจึงไม่มี เพียงตนอย่างเดียว ต้องบริหารไปทุกๆอย่างที่เป็นของตนด้วย บางทีส่วนที่เป็น “ของตน” มีน้ำหนักยิ่งกว่าส่วนที่เป็น “ตัวตน” เองเสียอีก เช่น คู่รักที่เสียสละชีวิตหรือความสุขของตัวเอง บิดามารดา รู้สึกห่วงลูกน้อยๆ มากกว่าตนในคราวรับภัยพิบัติ

...

ท่านพุทธทาส กล่าวว่า เมื่อ “อัตตา” อ่อนกำลังไปเท่าไร ก็แปลว่าฉลาดขึ้นเท่านั้น ความเห็นแต่แก่ตนฝ่ายเดียวก็น้อยลงไปเท่านั้น ความหลงใหลมัวเมาก็เบาบางไปเท่านั้น ภาระหนักหรือ “ก้อนหินแห่งชีวิต” ก็เบาลงเท่านั้น กล่าวในที่สุดก็คือ ความทุกข์จะเบาบางลงเท่านั้นเอง เมื่อใด “อัตตา” หมดไป “อนัตตา” ก็เกิดขึ้นแทน ซึ่งแปลว่า “วิชชา” หรือแสงสว่างเกิดขึ้นถึงที่สุด ก็หมดทุกข์โดยประการทั้งปวง เนื่องจากเป็นผู้เห็นคำตอบอย่างชัดแจ่มแจ้งของปัญหาชีวิตทุกข้อทุกกระทง คนเราคืออะไร เกิดมาทำไม ชีวิตคืออะไร จะครองชีวิตหรือทำใจต่อโลกนี้อย่างไร

เมื่อมีคำตอบอย่างแจ่มแจ้งถูกต้อง เพราะเห็นแจ้งชัดด้วยปัญญาแล้ว การครองชีวิตที่เราเคยรู้สึกว่าเป็นของหนักและมืดมน ก็กลายเป็นเบาสบาย ทั้งหมดนี้จะเป็นไปเอง เช่นเดียวกับเราจุดไฟขึ้น ความมืดก็หาย และแสงสว่างเกิดขึ้นแทน

ก่อนนี้ เคยมีลมหายใจอยู่ด้วยความอยากในสิ่งที่ตนชอบ เดี๋ยวนี้มีลมหายใจอยู่ด้วยความเป็นอิสระ ไม่มีสิ่งที่ตนอยาก สิ่งที่ตนเคยอยากกลับกลายเป็นสิ่งที่จะได้มาหรือไม่ได้ก็เท่ากัน ก่อนนี้เคยเสพ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เพราะความกำหนัดรัก เดี๋ยวนี้เสพแต่บางสิ่งบางอย่าง เพียงเพื่อให้ร่างกายตั้งอยู่ได้ หรือตามธรรมชาติของชีวิต ก่อนนี้มีชีวิตอยู่เพื่อดูดดื่มสิ่งที่ตนอยาก เดี๋ยวนี้อยู่ไปพลาง ดูดดื่มรสแห่งสันติสุขอันเยือกเย็นไปพลาง จนกว่าจะถึงกาลอวสานของวัตถุที่ประชุมมั่วสุมกันขึ้นเป็นร่างกายนี้เท่านั้น

ผมเชื่อว่าคนที่เกษียณอายุจากการทำงานสักพัก ความรู้สึกนี้จะค่อยๆเกิดขึ้นเอง

ผู้ถึงขีดแห่ง “อนัตตา” สามารถขยี้ “ตัวตน” ให้สาบสูญไปได้แล้ว จะไม่มีความรู้สึกว่ามีผู้เอาเปรียบ หรือถูกเอาเปรียบ มีผู้ริษยา หรือถูกริษยา ฯลฯ ความโกรธจึงไม่อาจเกิดขึ้น คนไม่โกรธ ก็คือผู้ที่ไม่รู้จักแพ้ ไม่มีใครมาทำให้แพ้ได้ สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับชีวิตด้วยการเรียนรู้ธรรมะตลอดไปครับ สุขสันต์วันปีใหม่ครับ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”