วัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) เป็นวัคซีนโควิด-19 ที่คนไทยทยอยได้รับการจัดสรรฉีดตามวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นมา มารู้จักกับวัคซีนยี่ห้อนี้ และผลข้างเคียงที่อาจได้รับ
วัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) คืออะไร

องค์การอนามัยโลกได้ขึ้นทะเบียนวัคซีน AstraZeneca/Oxford เป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ฉุกเฉิน โดยเป็นวัคซีนป้องกันเชื้อโคโรนาไวรัสที่คิดค้นร่วมกันระหว่างบริษัท AstraZeneca และมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด (Oxford University) ด้วยการดัดแปลงพันธุกรรมใส่โปรตีนโคโรนาไวรัสในอะดีโนไวรัส (Adenovirus) ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันหลังฉีด
วัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) เป็นอีกหนึ่งวัคซีนได้รับเลือกจากยูนิเซฟใช้จัดสรรให้แก่ประเทศต่างๆ เพื่อความเท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก ภายใต้ชื่อโครงการโคแวกซ์ (Covid-19 Vaccines Global Access Facility : COVAX) และประเทศไทยได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ของ AstraZeneca ในวันที่ 21 มกราคม 2564
...

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ได้กระจายฐานผลิตไปยังโรงงานต่างๆ ที่ได้รับมาตรฐานทั่วโลก ในประเทศไทยมีบริษัทสยามไบโอไซน์ (Siam Bioscience) ที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีผลิตวัคซีน ภายใต้มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ISO9001, ISO17025 และ ISO13485 เพื่อเป็นฐานการผลิตในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

วัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) เป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เอกสารกำกับยาระบุข้อบ่งใช้สำหรับฉีดเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19)
ลักษณะของวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) บรรจุมาในขวดแก้วใส พร้อมจุกยางปิดขวดชนิดฮาโลบูทิลและฝาพลาสติกครอบจุกยางแบบ Flip-off และฝาอะลูมิเนียมปิดรอบนอก บรรจุในกล่องกระดาษ กล่องละ 10 ขวด การเก็บรักษาขวดยาที่ยังไม่เปิดใช้ต้องเก็บในตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียส ห้ามแช่แข็ง และเก็บขวดยาในกล่องบรรจุยาเดิมเพื่อป้องกันแสง ตัวยามี Shelf Life 6 เดือน

ขวดวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) มีสารละลายตัวยาที่สำคัญ คือ วัคซีนโควิด-19 (ChAdOx1-S* recombinant) ซึ่งมีอนุภาคของอะดิโนไวรัสเวกเตอร์ที่บรรจุสารพันธุกรรมในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีน (Spike Glycoprotein) ของไวรัส SAR-CoV-2 จำนวน 5 x 1010 อนุภาค เนื้อสารละลายในขวดมีลักษณะใส ถึงสีน้ำตาลอ่อนใสถึงขุ่นเล็กน้อย ปราศจากอนุภาคเจือปน หลังจากเข็มเจาะผ่านจุกยางปิดขวดสำหรับการใช้ครั้งแรกแล้ว ควรใช้ให้หมดในทันที่เท่าที่จะเป็นไปได้ และใช้ภายใน 6 ชั่วโมงในช่วงที่มีการใช้ อาจเก็บวัคซีนที่อุณหภูมิระหว่าง 2-25 องศาเซลเซียส และทิ้งวัคซีนส่วนที่ไม่ได้ใช้ทิ้งไป หากมีวัคซีนหก ควรฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อไวรัสที่เหมาะสม
...
การฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca)

วัคซีนแอสตราเซเนกา 1 ขวด มีปริมาตรยา 5 มิลลิลิตร ฉีดได้ 10 ครั้ง ด้วยเข็มเบอร์ 25 ความยาว 1-1.5 นิ้ว ใช้กระบอกฉีดยาทั่วไปขนาด 0.5, 1, 2, 5 มิลลิลิตร ใช้วัคซีน 0.5 มิลลิลิตรฉีดเข้าบริเวณกล้ามเนื้อต้นแขน (Deltoid) เท่านั้น หากพบความผิดปกติของสารละลายครวทิ้งไป ห้ามเขย่าขวดยา
เตรียมตัวฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca)

ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงจากบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยการวัดความดันโลหิต ซักประวัติประเมินความเสี่ยง ก่อนเข้ารับการฉีด และต้องมีการบันทึกเลขลอตการผลิต (Lot No.) รวมถึงวันที่ฉีด แสดงในบัตรประจำตัวผู้ฉีดวัคซีนทุกครั้งที่ฉีด
ข้อควรระวังของผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca)
1. หากผู้เข้ารับวัคซีนมีไข้สูงควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไป ไม่จำเป็นต้องเลื่อนหากมีอาการของการติดเชื้อเล็กน้อยหรือมีไข้ต่ำๆ
2. วัคซีนแอสตราเซเนกา มีข้อห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ตัวยาหรือส่วนประกอบอื่นใดในตำรับซึ่งได้แก่ L- Histidine, L- Histidine hydrochloride monohydrate, Magnesium chloride hexahydrate, Polysorbate 80, Ethanol, Sucrose, Sodium Chloride, Disodium edetate dihydrate (แต่ไม่มีส่วนประกอบของไข่ Gelatin Gluten Lactose Latex mercury peanut nut-derivatives preservatives thimerosal หรือ soy)
3. ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ และความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด หรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรได้รับการฉีดวัคซีนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจเกิดภาวะเลือดออก หรือมีจ้ำเลือดหลังการฉีด
4. ยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
5. สตรีมีครรภ์ และสตรีที่ให้นมบุตร ควรพิจารณาให้วัคซีนเมื่อเห็นประโยชน์ที่ได้รับมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อมารดาและทารก เนื่องจากยังมีประสบการณ์ที่จำกัดสำหรับการใช้วัคซีนโควิด-19 ในสตรีมีครรภ์ และยังไม่ทราบผลว่าวัคซีนแอสตราเซเนกาถูกขับทางน้ำนมหรือไม่
ผลข้างเคียงของวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca)
...

เอกสารชี้แจงรายละเอียดวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) จาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ชี้แจงรายละเอียดว่าควรมีการเตรียมความพร้อมตลอดเวลาสำหรับการดูแลและให้การรักษาที่เหมาะสมอย่างท่วงทีในกรณีที่เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงหลังฉีดวัคซีน (Anaphylaxis) และควรสังเกตอาการผิดปกติของผู้รับวัคซีนหลังฉีด
ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) เข็มที่ 1 หรือเรียกว่าโดสแรก
1. กดเจ็บบริเวณตำแหน่งที่ฉีด พบมากกว่าร้อยละ 60
2. ปวดบริเวณตำแหน่งที่ฉีด ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย พบมากกว่าร้อยละ 50
3. ปวดกล้ามเนื้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว พบมากกว่าร้อยละ 40
4. ไข้ หนาวสั่น พบมากกว่าร้อยละ 30
5. ปวดข้อ หรือคลื่นไส้ พบมากกว่าร้อยละ 20
รวมถึงอาการอื่นๆ อาทิ บวมแดงร้อนบริเวณที่ฉีด จ้ำเลือดไม่รุนแรง รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว อาเจียน อาการคล้ายไข้หวัด เจ็บคอ โดยอาการผิดปกติต่างๆ มักไม่รุนแรง และหายเองภายใน 2-3 วัน หรือในช่วงสัปดาห์แรก
ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาสามารถใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ขนาด 500 มิลลิกรัม จำนวนครั้งละ 1-2 เม็ด เพื่อบรรเทาอาการปวดหรือใช้ทุก 4-6 ชั่วโมงตามความจำเป็นในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังรับวัคซีน
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าภายในวันที่ 7 อุบัติการณ์ของอาสาสมัครที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์เฉพาะที่หรือทั่วร่างกายเท่ากับ 4% และ 14% เมื่อเทียบกับโดสแรก
ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) เข็มที่ 2 หรือเรียกว่าโดสที่สอง เมื่อเทียบกับโดสแรก อาการไม่พึงประสงค์ที่พบรายงานในโดสที่สองมีความรุนแรงน้อยกว่า และมีความถี่ที่น้อยกว่า
อาการผิดปกติหลังฉีดวัคซีนอื่นๆ ที่พบได้น้อยกว่าร้อยละ 1 ได้แก่ ต่อมน้ำเหลืองโต เบื่ออาหาร มึนหรือเวียนศีรษะ ปวดท้อง เหงื่อออกมากผิดปกติ อาการคัน มีผื่น
ลงทะเบียนฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ได้ที่ไหน

ประชาชนสามารถติดตามข่าวสารของหน่วยงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านในรอบการจัดสรรที่กำหนด โดยใช้เป็นวัคซีนฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว 7 โรค และผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป
ที่มา : azcovid-19.com