ตำหนัก “ศาลพ่อปู่ขุนหาร” ตั้งอยู่ในวัดขุนหาร ต.ขุนหาญ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แก่ “พ่อปู่หาร” อันเป็นสัญลักษณ์ “ศูนย์รวมใจ” ให้คนรุ่นหลังระลึกถึงประวัติศาสตร์ของเมืองขุนหาญ และคุณงามความดีของบรรพบุรุษ ซึ่งสถานที่ที่ประชาชนต่างเคารพศรัทธาสักการบูชา
เสริมสร้างความสามัคคีของคนพื้นที่ให้เกิดความภาคภูมิใจรักในบ้านเกิดตัวเอง
ด้วยความที่ “อำเภอขุนหาญ” ฝั่งด้านทิศใต้ ติดต่อกับ อ.อันลองเวง จ.อุดรมีชัย และ อ.จอมกระสานต์ จ.พระวิหาร ประเทศกัมพูชา ทำให้มีความหลากหลายของ “ผู้คน” โยกย้ายมาตั้งหลักแหล่งทำให้ผู้คนใช้ภาษาเขมร ภาษาส่วย และลาวอีสาน อาศัยอยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ 12 ตำบล 145 หมู่บ้าน
อ.กุหลาบ สินศิริ ข้าราชการบำนาญ ในฐานะรองประธานสภาวัฒนธรรม อ.ขุนหาญ เล่าว่า มีข้อสันนิษฐานกัน...“ดั้งเดิมคนขุนหาญ” อาศัยอยู่ก่อนเป็น “ชาวกุย หรือส่วย” ที่สืบเชื้อสายกันมาจนถึงวันนี้อาศัยอยู่ ต.โนนสูง ต.โพธิ์กระสังข์ ต่อมา “ยุคขอม” เข้ามาตั้งเป็นชุมชนใหญ่กระจายอยู่ทั่วเช่นกัน
...
ภายหลังในช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น “ชาวลาว” ก็อพยพข้ามลำน้ำโขงเข้ามาตั้งหลักแหล่งแถบนี้กลุ่มแรกๆ คือ “นายหาร นายเอก นายอุด” ที่ต่างแยกย้ายกันออกไป “นายหาร” ตั้งอยู่เขตบ้านแดง “นายเอก” ตั้งที่บ้านตาเอก และ “นายอุด” แยกไปตั้งหลักที่บ้านตาอุด เขตเมืองขุขันธ์ในสมัยนั้น
บอกเล่ากันว่า... “นายหาร นายเอก นายอุด” เป็นทหารในกองทัพของ “พระเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์” ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ยกกองทัพจากเมืองเวียงจันทน์ และกองทัพเมืองจำปาศักดิ์ เพื่อลงมาตีกรุงเทพฯ
ในปี 2369 “กองทัพลาว” ได้ยกทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา เข้ายึดเมืองได้สำเร็จ และจับชาวเมืองนครราชสีมาไปเป็นเชลยศึกไปยังเมืองเวียงจันทน์
ต่อมา “คุณหญิงโม” หรือชาวลาวเรียกว่า “คุณหญิงโม้” รวบรวมครอบครัวชายหญิงที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย เข้าต่อสู้ฆ่าฟันทหารลาวแตกพ่าย ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงเมืองนครราชสีมา กอบกู้เมืองนครราชสีมากลับคืนมาได้...แต่ว่าก็มี “ทหารลาวบางส่วน” ไม่ยอมกลับเมืองจำปาศักดิ์ โดยเฉพาะ “กลุ่มนายหาร นายเอก นายอุด” มาตั้งรกรากอยู่แถบนี้ ถูกตั้งเป็น “เขตเมืองขุขันธ์” โดยขึ้นกับ “เมืองนครราชสีมา”
ด้วยความที่ว่า “นายหาร” เป็นคนเฉลียวฉลาด และอาจหาญอย่างมาก ทั้งยังมีปฏิภาณไหวพริบดี มีคนเกรงขามในความสามารถมากมาย “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์” จึงได้รับเข้าเป็นราชการแล้วตั้งบรรดาศักดิ์เป็น “ขุน หาญ” เมื่อเกษียณอายุราชการก็ได้กลับมาอยู่บ้านแดงดังเดิม
O O O
เหตุที่ “ขุนหาญ” มีโอกาสทำราชการบรรดาศักดิ์หมู่บ้านท่านถูกเรียกว่า “บ้านขุนหาญ” กล่าวกันว่าในยุคสมัยนี้ก็มี “หลวงพ่อตาตน” ที่พระพุทธรูปแบบขอมปางสะดุ้งมาร สร้างด้วยเกสรดอกไม้ผสมครั่งหรือยางชัน ที่ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาเป็น “พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง” ประดิษฐาน ณ วัดสำโรงเกียรติ เมืองขุขันธ์ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่เขต ต.บักดอง อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ
ด้วยเหตุความศักดิ์สิทธิ์ และปาฏิหาริย์มากมาย “ชาวบ้าน” เข้ากราบไหว้บนบานศาล กล่าวให้ “ท่านช่วย คลายทุกข์ ดับโศก พ้นภัย” ที่ได้รับผลสมปรารถนาตามที่ได้บนบานอยู่เสมอ ทำให้ถูกกล่าวขานเลื่องลือออกไปอันขึ้นชื่อในเรื่อง “ความศักดิ์สิทธิ์ที่ขออะไรก็ได้” ยิ่งทำให้คนพากันมากราบไหว้บูชาคับคั่งกว่าเดิม
...
ในราวปี 2420...เรื่องนี้ได้ทราบถึง “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ผู้ปกครองเมือง ขุขันธ์องค์ที่ 8” จึงมีความประสงค์ต้องการจะอาราธนา “หลวงพ่อตาตน” ไปประดิษฐานไว้ ณ เมืองขุขันธ์ ปัจจุบัน คือ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ จึงได้มีการจัดเตรียมขบวนช้างม้าไปอาราธนาอย่างเอิกเกริก
แต่เมื่ออาราธนา “หลวงพ่อตาตน” ขึ้นบนหลังช้างแล้วขบวนออกจากวัดสำโรงเกียรติ ราว 500 เมตร ที่กำลังจะข้าม “สะพานห้วยทา” จู่ๆก็ได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมีลมพายุพัดมาทั้ง 4 ทิศ ฝนตกลงมาอย่างหนัก และเสียงฟ้าร้องคำรามราวกับแผ่นดินจะถล่ม ทำให้ “ช้าง ม้า” ต่างพากันหมอบกราบลงกับพื้น
“เจ้าเมืองขุขันธ์” เชื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์ และปาฏิหาริย์นี้ได้ประกาศคำขาดว่า “ถ้าลมฝนหยุดตก” จะนำหลวงพ่อกลับวัดสำโรงเกียรติไว้ที่เดิม เมื่อสิ้นประกาศนั้น “ลมฝนสงบนิ่งทันที” ดังนั้น “เจ้าเมืองขุขันธ์” ได้ทำตามคำประกาศให้ขบวนช้าง ม้านำ “หลวงพ่อตาตน” กลับไปประดิษฐานที่วัดสำโรงเกียรติจนถึงปัจจุบันนี้
...
O O O
ยุคเปลี่ยนรูปแบบการปกครองให้เป็น อำเภอ และจังหวัด ทำให้ “เมืองขุขันธ์” ถูกเปลี่ยนเป็น อ.ขุขันธ์ และจัดตั้งเป็น จ.ศรีสะเกษ เมื่อประชากรขยายตัวมากขึ้น “อ.ขุขันธ์” มีเขตรับผิดชอบค่อนข้างกว้างใหญ่อยู่เดิมจำเป็นต้องกระจายอำนาจการปกครองใหม่ ด้วยการจัดตั้งหมู่บ้านให้เป็นตำบลจากทางราชการ
ส่วน “บ้านขุนหาญ” เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ขนาดใหญ่ จึงเปลี่ยนเป็น “ตำบลขุนหาญ” พร้อมเลือก “ขุนหาญ” จากราษฎรเป็นกำนันคนแรก
ต่อมาทางราชการแยกการปกครองเป็น “กิ่งอำเภอ” เลือกชัยภูมิใหม่ ใกล้หนองน้ำสิ และนำชื่อหมู่บ้านเก่าแก่มาใช้เป็น “กิ่งอำเภอขุนหาญ” กระทั่งปี 2501 ก็เปลี่ยนเป็น “อำเภอขุนหาญ” จนถึงปัจจุบันนี้
...
แน่นอนว่าวันเวลาผ่านมาถึงวันนี้ความศรัทธาต่อ “หลวงพ่อตาตน” ที่ประดิษฐาน ณ วัดสำโรงเกียรติมิได้ลดน้อยลงคงยังถูกกล่าวขานเลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารปรากฏมากมาย ทำให้ “คนไทยและต่างชาติ” ต่างเข้ามากราบไหว้ขอพรกัน ตามคำบอกเล่าของ “พระครูอรุณปุญโญภาส” เจ้าอาวาส
“หลวงพ่อตาตน” เป็นพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมายาวนานตั้งแต่สมัย “เมืองขุขันธ์” ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และท่านเป็นพระศักดิ์สิทธิ์มากในด้าน “บนบาน” ถ้าสิ่งขอไม่เหลือวิสัยมักได้ดั่งใจเสมอ
ตอกย้ำ “ผู้คนเลื่อมใสหลวงพ่อตาตนมีอยู่ทุกสาขาอาชีพ” มักเดินทางมาบนบาน ศาลกล่าว มีตั้งแต่ “สอบผ่านบรรจุข้าราชการ ตำแหน่งการงาน ธุรกิจค้าขาย โชคลาภ การมีบุตรธิดา แม้แต่คนเจ็บไข้ได้ป่วย” ก็เข้ามาขอพรบนบานประสบผลสำเร็จแล้วต้องกลับมาแก้บน “บวชปฏิบัติธรรม 9 วัน” อยู่ตลอด...
ความศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ถูกจารึกไว้มายาวนานราว 144 ปี อันถือเป็น “พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษ” และยังคงมี “ผู้คน” เลื่อมใสศรัทธาเข้ากราบไหว้ขอพรกันไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบันนี้
“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้... “ลบหลู่”.
รัก-ยม