หลังจากที่ได้รู้วิธีการบอกข่าวร้ายกับเด็กเล็กที่มีอายุตั้งแต่ 0-2 ปี และอายุ 3-6 ปีกันไปแล้ว ยังมีวิธีการบอกข่าวร้ายในเด็กที่อายุ 6-10 ปีกันอีก
เด็กประถม/เด็กโต (6-10 ปี)
ในเด็กวัยนี้พัฒนาการทางความคิดเริ่มดีขึ้น พอจะเข้าใจเหตุผลได้บ้าง แต่ความเข้าใจอาจจะยังไม่เท่าผู้ใหญ่ นอกจากนี้ เรื่องการรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่สามารถช่วยเหลือเด็กให้ผ่านความสูญเสียไปได้เป็นอย่างดี
การบอกเด็กควรบอกเด็กตรงๆ เหมือนเดิม โดยอาจจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้เล็กน้อย เช่น สาเหตุการตายแบบง่ายๆ ให้เด็กพอรู้ เช่น “คุณแม่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถชน” “คุณพ่อไม่สบายมากๆ เลยเสียชีวิต” ไม่ควรให้รายละเอียดมากเกินไป หรือรายละเอียดที่น่ากลัว
การสื่อสารเพื่อให้เด็กได้ระบายความรู้สึก ถามสิ่งที่เด็กสงสัย ยังคงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็ก โดยเฉพาะการพูดคุยกับเด็ก
เมื่อบอกข่าวร้ายเสร็จ ควรทำอย่างไรต่อไป?
อย่าคาดหวังให้เด็กเข้าใจทุกอย่างผ่านการบอกแค่ครั้งเดียว ดังนั้น เรื่องนี้ควรนำมาพูดคุยเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ถูกต้อง ไม่ได้เข้าใจบางอย่างผิดไป รวมถึงเมื่อเขาโตขึ้น เขาก็พร้อมจะรับข้อมูลบางอย่างที่มากขึ้นได้ เกิดความเข้าใจที่มากขึ้นได้ ที่สำคัญที่สุดคือ อารมณ์ความรู้สึกยังคงอยู่ได้นาน แม้เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว การพูดคุยในครั้งต่อๆ ไป เป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้ระบายความรู้สึก เช่น ความคิดถึงผู้ที่จากไป การเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาในวันครบรอบการเสียชีวิต ได้ทำบุญและระลึกถึงผู้ที่จากไป มีส่วนสำคัญในการกลับไปทำความเข้าใจและปรับตัวกับเรื่องนี้อีกครั้ง
ตัวตายแล้ว แต่ใจไม่ตายตาม
...
ความตายพรากร่างกายไปได้ แต่เราสามารถเก็บภาพและความรู้สึกดีๆ ที่เรามีต่อคนที่เรารักเอาไว้ในใจเราได้ เด็กก็เช่นเดียวกัน ความตายทำให้เขาไม่ได้พบเจอพ่อหรือแม่หรือคนที่เสียชีวิต แต่ความเป็นพ่อแม่ไม่ได้สิ้นสุดตามการตายจากไป การช่วยให้เขามีภาพและเรื่องราวของคนที่เขารักเก็บไว้ในใจ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาตัวตนของเขา เช่น การนำรูปถ่ายมาให้เด็กดู การเล่าเรื่องของคนที่เสียชีวิตไปแล้วว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น เขาได้ทำอะไรบ้าง เขาได้มีโอกาสเลี้ยงดูเด็กมาอย่างไร
เชื่อในความสามารถในการปรับตัวของเด็ก
โดยทั่วไป การบอกสิ่งเหล่านี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เด็ก แต่อยู่ที่ความกลัวของผู้ใหญ่ กลัวว่าเด็กจะรับไม่ได้ กลัวไม่รู้จะบอกอย่างไรดี กลัวว่าที่ทำไปนั้นทำถูกต้องแล้วหรือยัง สำหรับเรื่องแบบนี้ บางครั้งมันไม่ได้มีอะไรถูกและไม่ได้มีอะไรผิด สิ่งที่ใช้ได้ผลกับคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลเลยสำหรับอีกคนหนึ่ง
การทำใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ความเชื่อมั่นทั้งในศักยภาพของตัวเราเองว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ และผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้ในที่สุด รวมถึงเชื่อมั่นว่าตัวเด็กมีศักยภาพมากพอที่จะผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ อาจสำคัญมากกว่าอะไรถูกอะไรผิด
การเปิดรับกำลังใจและความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง อาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนผ่านพ้นการสูญเสียไปด้วยกัน
@@@@@@@@
แหล่งข้อมูล
รศ.พญ.นิดา ลิ้มสุวรรณ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ สาขาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล