หากเอ่ยชื่อ "ปรีดี พนมยงค์" ในความรับรู้ของคนส่วนใหญ่ มักจะถูกจดจำในฐานะผู้นำการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม 24 มิถุนายน 2475 เป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยในช่วงเวลาดังกล่าวหลายคนอาจไม่ทราบว่า ท่านเคยมีบทบาทในการสร้างภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีชื่อว่า "พระเจ้าช้างเผือก" ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนตร์อันทรงคุณค่าของชาติ
"พระเจ้าช้างเผือก" คือ พระราชสมัญญานามของกษัตริย์ที่มีช้างเผือก เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสัตว์มงคลหายาก ช่วยประดับบารมี และเชิดชูพระเกียรติยศของกษัตริย์ ผู้ที่ได้ครอบครองช้างเผือกจึงเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการสูง แนวคิดดังกล่าวปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือก ซึ่งคุณปรีดีได้ซ่อนนัยแห่งสันติภาพ และมุมมองเรื่องชาตินิยมไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ท่ามกลางบรรยากาศคุกรุ่นของเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2
ไทยรัฐออนไลน์ จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักภาพยนตร์ "พระเจ้าช้างเผือก" รวมทั้งพูดคุยกับ อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นักศึกษาปริญญาเอกสาขาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแฟนพันธุ์แท้วรรณกรรมซีไรต์ นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่สนใจศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะชีวิตและผลงานต่างๆ ของ ปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อตั้งคณะราษฎร และผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
...
รู้จัก "พระเจ้าช้างเผือก" ภาพยนตร์ไทยในนามของสันติภาพ เหตุใดนักแสดงพูดภาษาอังกฤษทั้งเรื่อง?
พระเจ้าช้างเผือก (The King of the White Elephant 1941) เป็นภาพยนตร์ไทยฟิล์มขาว-ดำ ใช้ระบบเสียงในฟิล์ม ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2484 เขียนบทประพันธ์ และอำนวยการสร้างโดยปรีดี พนมยงค์ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
พระเจ้าช้างเผือกเล่าเรื่องราวของ "พระเจ้าจักรา" กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา ที่ไม่โปรดราชประเพณีล้าสมัยของราชสำนัก หลังจากสมุหราชมณเฑียรได้กราบทูลว่า "พระองค์จะทรงดำเนินรอยตามพระราชประเพณีให้ทวยราษฏร์ยินดี จะต้องทรงมีมเหสี 365 องค์ พระเจ้าหงสาเพื่อนบ้านเรา ได้ทำสถิติ มีพระสนมถึง 366 นาง"
พระเจ้าจักราทรงเห็นว่าราชประเพณีนี้ ไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อบ้านเมือง พระองค์ทรงโปรดการจับช้างมากกว่า เนื่องจากสามารถนำมาใช้ป้องกันอาณาจักรได้หากมีศึกสงคราม โดยในระหว่างนั้นทรงจับช้างเผือกได้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสัตว์คู่บารมีของกษัตริย์
ความทราบถึง "พระเจ้าหงสา" ผู้กระหายสงคราม ได้ส่งราชสาส์นมาขอช้างเผือก เมื่อพระเจ้าจักราไม่ยินยอม จึงทรงยกกองทัพมารุกรานอโยธยา ทำให้ทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก พระเจ้าจักราไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสีย จึงทำยุทธหัตถีบนหลังช้างกับพระเจ้าหงสา เมื่อได้ชัยชนะ พระองค์ไม่ได้จับข้าศึกมาเป็นเชลย แต่เลือกใช้วิธีการประกาศสันติภาพแทน
ความน่าสนใจอยู่ที่นักแสดงในพระเจ้าช้างเผือก พูดภาษาอังกฤษตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นความตั้งใจของปรีดี พนมยงค์ ที่ต้องการสื่อสารกับต่างชาติ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำไปฉายที่สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ทว่าจุดประสงค์ของการสร้างพระเจ้าช้างเผือก ไม่ได้ต้องการทำรายได้ แต่ได้ซ่อนนัยบางอย่างที่สะท้อนค่านิยม และสภาพสังคมในยุคนั้นเอาไว้
อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ กล่าวว่า เขาสนใจศึกษาเรื่องราวของ ปรีดี พนมยงค์ มาตั้งแต่ก่อนจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทราบมาว่าท่านเคยทำภาพยนตร์ แต่ก็คิดว่าคงเหมือนกับภาพยนตร์ชาตินิยมทั่วไป ภายหลังเมื่อได้เข้าเรียนก็มีโอกาสได้ชม "พระเจ้าช้างเผือก" และอ่านหนังสือบทภาพยนตร์ฉบับภาษาไทย จึงมีความสนใจประเด็นอื่นๆ ของภาพยนตร์ด้วย โดยเฉพาะเมื่ออ่านเจอว่า พระเจ้าช้างเผือกถูกสร้างขึ้น เพราะต้องการส่งเข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ซึ่งข้อมูลชุดนี้ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่
"ผมสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงยุคทศวรรษ 2480 มีคนเสนอว่าหนังเรื่องนี้มีนัยบางอย่าง อาจารย์ปรีดีไม่ได้แค่จะทำหนังอย่างเดียว แต่ต้องการสะท้อน และเสนอประเด็นสันติภาพ แต่ที่ทำให้ผมสนใจอย่างจริงจัง คือหลังจากอ่านเจอว่า เมื่อทำหนังเสร็จ จะส่งไปชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ถ้าเราเชื่อว่าเขาจะส่งโนเบลจริงๆ ก็เป็นไปได้ที่จะทำเป็นภาษาอังกฤษ แต่เมื่อไปค้นคว้าต่อ กลับพบว่าไม่ใช่แค่อาจารย์ปรีดีที่จะส่งโนเบล ฝ่าย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็มีการประกวดเรื่องเกี่ยวกับสันติภาพเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้ส่งทั้งคู่เลย เคยมีคนไปสัมภาษณ์ท่านผู้หญิงพูนศุข (ภริยาปรีดี พนมยงค์) แล้วถามว่า จริงไหมที่ปรีดีจะส่งเรื่องนี้ไปชิงโนเบล ท่านปฏิเสธ บอกว่าไม่จริง ไม่ได้จะส่งไปโนเบล แค่ต้องการสื่อสารประเด็นสันติภาพ"
...
เมื่อภาพยนตร์กลายเป็นกระบอกเสียงของสันติภาพ และแนวคิดชาตินิยม
สถานการณ์อันตึงเครียดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาส่งผลกระทบในประเทศไทยอย่างชัดเจน ราวปี พ.ศ.2484 ในสมัยนั้น รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เล็งเห็นว่าฝั่งประเทศยุโรปเกิดสงครามโลก ไทยจึงจำเป็นที่จะต้องทำให้ความเป็นชาติเข้มแข็ง โดยใช้แนวคิดที่เชิดชูลัทธิชาตินิยม ซึ่งได้รับอิทธิพลทางการเมืองมาจากลัทธิฟาสซิสต์
หลวงวิจิตรวาทการ ผู้แต่งบทละครเรื่องเลือดสุพรรณ ได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของรัฐบาลจอมพล ป. ในการเสริมสร้างความเป็นไทย ทำให้คนรู้สึกรักชาติ ฮึกเหิม สู้รบเพื่อบ้านเมือง ในขณะที่ฝั่ง ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ไม่เห็นด้วยกับการปลูกฝัง และปลุกระดมแนวคิดชาตินิยม จึงต้องการสื่อสารว่า แนวคิดที่น่าจะดีกว่าคือ "แนวคิดสันติภาพ" ที่เชื่อว่าไม่ควรให้ผู้คนมาล้มตายเพราะการรบ ซึ่งได้สะท้อนอุดมการณ์ดังกล่าวผ่านภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือกนั่นเอง
...
"ในขณะที่ฝั่งรัฐบาลสร้างหนัง ละคร ออกมาฉายในเมืองไทย ทำให้คนดูเกิดความรู้สึกชาตินิยม ทางอาจารย์ปรีดีเลยสร้างหนังขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อพูดเรื่องสันติภาพโดยเฉพาะ ต้องการชี้ให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว ประเทศไทยเราต้องรักสันติภาพมากกว่ารักความเป็นชาตินิยม เพราะเชื่อว่าสันติภาพจะนำไปสู่สากลมากกว่า" อาชญาสิทธิ์กล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนใหญ่เมื่อมีการเขียนประวัติศาสตร์ถึงปรีดี พนมยงค์ มักจะเป็นเรื่องราวการเมืองที่เข้มข้นในฐานะผู้นำคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทว่าท่านยังมีแง่มุมอื่นๆ ด้านชีวิตและผลงานที่น่าสนใจ ซึ่งไม่ค่อยถูกหยิบยกมาพูดถึงเท่าที่ควร
หากใครได้ชมภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก จะพบว่าไม่ใช่เพียงแค่เรื่องสันติภาพของมนุษยชาติเท่านั้น ที่ปรีดีต้องการนำเสนอ แต่ยังมีแนวคิดสันติธรรม ความเมตตา และธรรมะของผู้ปกครอง สอดแทรกอยู่ด้วย
"แม้ว่าอาจารย์ปรีดีจะเป็นนักเรียนนอก เป็นคนทันสมัย แต่ก็มีความสนใจในพระพุทธศาสนา เคยเชิญท่านพุทธทาสไปสร้างสวนโมกข์ที่อยุธยาด้วย เพราะในสมัยนั้นท่านพุทธทาสได้ชื่อว่าเป็นพระที่ทันสมัย เทศนาแนวใหม่ และปรีดีก็เป็นคนชอบประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา เพราะเป็นคนอยุธยา อีกทั้งเป็นคนชอบดูหนัง สมัยเรียนที่ฝรั่งเศส ก็ดูหนังเป็นประจำ จึงเป็นคำตอบว่าทำไมอาจารย์ปรีดีถึงเลือกใช้วิธีสร้างหนังขึ้นมาเล่าเรื่องสันติภาพ โดยให้ฉากในหนังเป็นเรื่องราวสมัยอยุธยา เพราะอยากให้ต่างชาติเห็นว่าประเทศไทยมีความรักสันติภาพมาตั้งแต่ยุคโบราณ"
"ความก้าวหน้า" ในภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก ที่ไม่ควรใช้สายตาปัจจุบันตัดสินอดีต
"หัวใจสำคัญของประวัติศาสตร์ ก็คือ เราเอาความคิดปัจจุบันไปตัดสินอดีตไม่ได้ เพราะบริบทความรับรู้ตามยุคสมัยมีความแตกต่างกัน" อาชญาสิทธิ์ชี้ให้เห็นว่า หากเราใช้สายตาของคนยุคสมัยปัจจุบันในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็อาจไม่พบความแปลกใหม่ แต่หากมองย้อนกลับไปเมื่อราว 80 ปีก่อน ก็พบว่าหลายแนวคิดที่ปรากฏอยู่ในพระเจ้าช้างเผือกเป็นเรื่องราวที่ใหม่และทันสมัย โดยเฉพาะการพูดถึงระบบผัวเดียวเมียเดียว (Monogamy) เมื่อตัวละครพระเจ้าจักราปฏิเสธการมีมเหสี 365 องค์
...
"นอกจากต้องการพูดเรื่องสันติภาพในระดับใหญ่ และการไม่ทำสงครามระหว่างรัฐแล้ว การมีผัวเดียวเมียเดียว ก็จะก่อให้เกิดสันติภาพในครอบครัวได้เช่นกัน เพราะถ้ามีหลายเมีย ก็อาจมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ขัดแย้งกันในครอบครัว การเสนอเรื่องแบบนี้ในยุคนั้นเป็นสากล เป็นธีมที่โลกกำลังรณรงค์ความสมัยใหม่ อาจารย์ปรีดีเองก็หวังผลตรงนั้น ต้องการให้ผลงานไปสู่สากล อยากให้โลกเห็นภาพเมืองไทยแบบสากลด้วย เพราะในตอนนั้นโลกยังมองว่าประเทศไทยขี่ช้างอยู่เลย"
"หนังเรื่องนี้จึงพูดถึงสิ่งที่เป็นปัจจุบันในยุคอาจารย์ปรีดี แม้ว่าตัวหนัง ฉาก และเนื้อเรื่องจะเล่าถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาก็จริง แต่บริบท คำพูด คำจา มันเกิดจากยุคอาจารย์ปรีดี เป็นการใช้ฉากในอดีต แต่มาแต่งเพื่อเสนอประเด็นร่วมสมัย"
งานรวมตัวปัญญาชนระดับประเทศ และคอนเนคชั่นที่แน่นแฟ้นของปรีดี พนมยงค์
อีกหนึ่งความโดดเด่นของพระเจ้าช้างเผือก คือ ประกอบไปด้วยทีมสร้างฝีมือดี ทั้งที่เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ได้จ่ายค่าตัวนักแสดง แต่กลับมีคนยินดีมาช่วยเยอะมาก ความกว้างขวางของปรีดี พนมยงค์ ทำให้สามารถติดต่อคนเก่งมาร่วมงานได้ แถมยังเป็นปัญญาชนระดับประเทศที่สามารถพูดและสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ภาษาอังกฤษทั้งเรื่อง เช่น ประสาท สุขุม จบการถ่ายภาพจากฮอลลีวูด มาทำหน้าที่ถ่ายภาพให้, ชาญ บุนนาค ทำหน้าที่บันทึกเสียง, พระเจนดุริยางค์ กำกับดนตรี, วงศ์ แสนศิริพันธุ์ เจ้าเมืองแพร่ในยุคนั้น มาช่วยกำกับโขลงช้าง, หลวงวิลาศปริวัตร (ครูเหลี่ยม วินทุพราหมณกุล) ผู้เขียนหนังสือเรื่องความไม่พยาบาท นวนิยายเล่มแรกของไทย มาร่วมแสดง, ไพริน นิลเสน ดาวโรงเรียนเตรียมธรรมศาสตร์ฯ มารับบทนางเอก รวมถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ที่มาช่วยปรีดีในการแสดงอีกมากมาย
"คนที่มาแสดงส่วนใหญ่ต้องพูดอังกฤษได้ อาจารย์ปรีดีได้คนเก่งมาช่วยหมด ไปสร้างสตูดิโอแถวทุ่งมหาเมฆ ส่วนใหญ่ถ่ายทำกันตอนกลางคืน เพราะกลางวันต้องเรียน ต้องทำงาน พอถึงฉากสำคัญคือ ฉากช้าง ต้องสู้กันกลางแจ้ง อาจารย์ปรีดีมีเพื่อนสนิทคือ 'เจ้าวงศ์' เจ้าเมืองแพร่เก่า เขาเสนอให้มาถ่ายทำที่ ต.ป่าแดง จ.แพร่ พื้นที่โล่งกว้าง ขนช้างทางเหนือมาเข้าฉาก หนังเรื่องนี้จึงสำเร็จได้ด้วยแรงของมิตรสหาย จะเห็นได้ว่าพอเกิดสงครามโลก แพร่เป็นฐานที่มั่นศูนย์เสรีไทยทางภาคเหนือ เนื่องจากการที่อาจารย์ปรีดีมีคอนเนคชั่นที่ดี และแน่นแฟ้นนั่นเอง"
"พระเจ้าช้างเผือก" และคุณูปการต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือกจะได้รับคำชมเชิงบวกในประเทศไทย แต่จากการศึกษาค้นคว้าของอาชญาสิทธิ์ พบว่า เมื่อภาพยนตร์ไปฉายที่ต่างประเทศจริงๆ ก็ถูกวิจารณ์พอสมควร
"มีเรื่องหนึ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงกัน เพราะพอหนังไปฉายในเมืองนอกจริงๆ ก็โดนวิจารณ์ เพราะชาวต่างชาติไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร นักวิจารณ์ชาวอเมริกัน Bosley Crowther ที่เขียนวิจารณ์หนังทุกเรื่องที่เข้าฉายในสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่าเป็นหนังมือสมัครเล่น แต่ฉากที่เขาตื่นเต้นกันมากคือ การได้เห็นช้างจำนวนมากเข้าฉาก"
ทว่าเมื่อมองภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยสายตาของนักประวัติศาสตร์ ก็พบว่า พระเจ้าช้างเผือก มีประโยชน์อย่างมากต่อการศึกษาเรื่องราวของยุคสมัยนั้น โดยครั้งหนึ่งชาวบ้านสันกลาง ต.ป่าแดง จ.แพร่ ซึ่งสถานที่นี้เคยถูกใช้เป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์ เคยมีปัญหาเรื่องสิทธิถือครองที่ดินกับรัฐ พวกเขาใช้ภาพจากภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือกเป็นหลักฐานยืนยันกับทางการ ว่าชุมชนชาวบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่นี้มานานแล้ว
พระเจ้าช้างเผือก กลายเป็นหลักฐานและมรดกอันทรงคุณค่าสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์พื้นที่ ค่านิยม แนวคิด รวมถึงนัยทางการเมืองของยุคสมัยนั้น แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะชูสันติภาพเป็นจุดเด่น ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งก็ยังมีกลิ่นอายชาตินิยมที่สะท้อนออกมา
"ถ้าสมมติเราบอกว่า จอมพล ป. และหลวงวิจิตรวาทการ พยายามทำหนัง 'ชาตินิยม' แต่อาจารย์ปรีดีมาทำหนัง 'ไม่ชาตินิยม' อาจจะไม่เป็นแบบนั้นชัดเจนทีเดียว เพราะแม้ว่าข้อเด่นของหนังพระเจ้าช้างเผือกพูดถึงสันติภาพ แต่ก็ยังเห็นลักษณะบางอย่างในแนวทางชาตินิยม การที่อาจารย์ปรีดีใช้ฉากอยุธยาเก่าๆ เล่าเรื่องสงครามระหว่างรัฐ จริงๆ มันก็ชาตินิยม แต่อันนี้เราก็มองด้วยสายตาปัจจุบัน ซึ่งจริงๆ ไปตัดสินไม่ได้ เราต้องอย่าไปคิดแทนคนในอดีต เพราะว่าบริบทไม่เหมือนกัน หัวใจสำคัญของประวัติศาสตร์ก็คือ อย่าเอาปัจจุบันไปตัดสินอดีต" อาชญาสิทธิ์กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพระเจ้าช้างเผือกของปรีดี พนมยงค์ จะถูกตีความด้วยมุมมองใด แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ วรรณกรรมประเภทภาพยนตร์ นอกจากจะช่วยสะท้อนสภาพสังคมของยุคสมัยแล้ว ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสำนึกทางการเมือง และเป็นกระบอกเสียงที่ก้าวหน้าในการสื่อสารนัยบางประการไปสู่ผู้ชมอยู่เสมอ.
เรื่อง: ตติยา แก้วจันทร์
กราฟิก: Varanya Phae-araya
ที่มา: หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)