การสูญเสียคนที่ใกล้ชิดผูกพัน เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา บางครั้งหลายคนไม่รู้ล่วงหน้า ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับคนรัก หรือครอบครัวของตัวเอง เช่น การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จากการเจ็บป่วยที่กะทันหันและรุนแรง เด็กก็เช่นเดียวกัน อาจต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้
ควรบอกเรื่องการเสียชีวิตกับเด็กหรือไม่?
ควรบอกเด็กตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ประเด็นสำคัญ คือ วิธีการที่บอกต้องเหมาะสมกับวัยของเขา เหมาะสมกับพัฒนาการทางความคิดของเขา
ถ้าไม่บอก เด็กจะยิ่งสับสนงุนงงกับสถานการณ์รอบตัวที่เปลี่ยนไป เด็กสามารถรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวได้มากกว่าที่ผู้ใหญ่หลายคนเข้าใจ เขาอาจสงสัยว่าพ่อแม่หายไปไหน ปกติญาติไม่ได้มาหามากมายขนาดนี้ มีคนแปลกหน้าเข้ามาในชีวิตมากมาย ทำไมแม่ร้องไห้ บางครอบครัวตัดสินใจส่งเด็กไปอยู่ที่อื่น หลังการเสียชีวิตของผู้ที่เคยดูแลเด็กมาก่อน ถ้าไม่ได้บอกให้รู้ เด็กก็จะสงสัยว่าทำไมเขาต้องมาอยู่ที่ใหม่กับคนใหม่ๆ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้สามารถสร้างความวิตกกังวล ลังเล สงสัย รู้สึกไม่มั่นคงให้กับเด็กเป็นอย่างมาก
...
ควรบอกที่ไหน?
• เลือกที่สงบ ไม่วุ่นวาย และเป็นส่วนตัวพอสมควร เช่น ห้องนอนของเขา เพื่อที่ผู้บอกจะสามารถอยู่กับเขาได้อย่างเต็มที่ มีโอกาสเห็นปฏิกิริยาของเขาหลังจากบอกเรื่องนี้ได้ และตอบสนองได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งผู้บอกข่าวร้ายนี้ก็จะมีความสงบมากขึ้นเช่นเดียวกัน ในยามที่ต้องทำหน้าที่สำคัญเช่นนี้
• ถ้าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เช่น อยู่ที่โรงพยาบาลที่มีคนมาก อาจพยายามหามุม หรือห้องที่เงียบสงบสักหน่อย
ใครควรเป็นคนบอก?
• คนที่ใกล้ชิดและสนิทกับเด็กมากที่สุด
บอกอย่างไร?
• ให้พิจารณาจากอายุและระดับพัฒนาการของเด็ก
ทารก (0-2 ปี)
การบอกเรื่องราวและความเข้าใจ อาจไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญสำหรับวัยนี้ เพราะพัฒนาการทางความคิด ความเข้าใจของเขาอยู่ในระดับที่เพิ่งเริ่มต้น โดยทั่วไป เด็กวัยนี้จะรับรู้ผ่านระบบสัมผัสทางต่างๆ และปฏิกิริยาของผู้เลี้ยงดูที่เปลี่ยนไป เช่น ถ้าเดิมแม่เป็นผู้กล่อมให้กินนม เมื่อแม่เสียชีวิตแล้วมีคนอื่นมาอุ้ม จังหวะการกล่อมไม่เหมือนกัน สัมผัสไม่เหมือนเดิม ถ้าเด็กโตพอที่จะจำหน้าแม่ได้แล้วก็จะร้องหาแม่ เพราะคนอื่นที่มาดูแลไม่ใช่คนเดิมที่เขาติด ในวัยนี้ การเสียชีวิตเปรียบเสมือนการแยกจาก (separation) ในวัยนี้ควรช่วยดูแลให้ชีวิตประจำวันของเด็กเป็นไปอย่างปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เช่น การกิน การนอน การขับถ่าย และการเล่น
เด็กอนุบาล/เด็กเล็ก (3-6 ปี)
ควรบอกเด็กสั้นๆ ด้วยภาษาที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องอธิบายเหตุผลยาวๆ เช่น “คุณพ่อเสียแล้วนะคะ ตอนนี้ไปอยู่บนสวรรค์” หลีกเลี่ยงคำอธิบายที่ไม่ตรงไปตรงมาและสร้างความสับสน เช่น “พ่อนอนหลับอยู่” “แม่ไปอยู่ที่อื่นแล้ว ไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว”
เด็กในวัยนี้ยังไม่เข้าใจความตายเต็มที่เหมือนที่ผู้ใหญ่เข้าใจ เด็กมักเข้าใจว่าตายแล้วกลับมาได้ เช่น “พ่อไปสวรรค์แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่” หรือเด็กมักไม่เข้าใจว่าตายแล้วร่างกายไม่ทำงาน เช่น “แม่อยู่บนสวรรค์จะหิวไหม” ดังนั้นเมื่อเด็กมีความสงสัย ถามคำถามต่างๆ ผู้ใหญ่ควรค่อยๆ ช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้ เช่น “คนที่ไปอยู่บนสวรรค์แล้วเขาจะอยู่ที่นั่นเลย ไม่กลับมาแล้ว” ประสบการณ์อื่นๆ ในชีวิตของเด็กที่เขาได้พบเจอจะช่วยให้เขาเข้าใจ “ความตาย” มากขึ้น เช่น เขาเห็นแมลงตาย นอนนิ่งไม่ขยับ เขาก็จะค่อยๆ เรียนรู้ว่า เมื่อตายแล้วร่างกายไม่ทำงาน
การสื่อสารที่อาจช่วยให้เด็กเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น เช่น การเล่านิทาน การวาดรูป หรือการเล่นสมมติ ครอบครัวและคนใกล้ชิดควรเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความรู้สึกต่างๆ ผ่านการพูดคุยและทำกิจกรรมต่างๆ
ยังมีความน่าสนใจของ เด็กกับการสูญเสียคนที่ใกล้ชิดผูกพัน (ตอน 2) กันอีก รอติดตามสัปดาห์หน้านะคะ
--------------------------------------------------------------------------
แหล่งข้อมูล
รศ.พญ.นิดา ลิ้มสุวรรณ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ สาขาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
...