“โรคเอสแอลอี (SLE)” เป็นโรคเรื้อรังแต่รักษาได้ เป็นโรคที่มีอาการหลากหลาย สามารถเกิดความผิดปกติได้ทุกระบบ และทุกอวัยวะในร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า อีกทั้งยังมีความหลากหลายของความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีความรุนแรงของโรคแตกต่างกันมาก สัปดาห์นี้เรามาทำความรู้จักกับภาวะแทรกซ้อนของโรคเอสแอลอีกันนะคะ

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเอสแอลอีเกิดได้จากภาวะแทรกซ้อนจากตัวโรคเอสแอลอี และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษาโรค ซึ่งบางครั้งจะมีอาการคล้ายกันได้ ทำให้แยกได้ยากว่าเกิดจากสาเหตุใด ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย แบ่งตามอวัยวะ ได้แก่

1. ไต

     1.1 ไตวายเฉียบพลัน อาจเกิดจากตัวโรคเองที่มีการอักเสบของไตอย่างรุนแรง ทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน หรือเกิดจากยาที่ใช้ในการรักษา เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือยากดภูมิคุ้มกันซัยโคลสปอริน

          - หากเกิดจากโรคเอสแอลอี การรักษาคือให้ยาเต็มที่ทั้งยาสเตียรอยด์ขนาดสูงและยากดภูมิคุ้มกัน และรอดูการตอบสนอง ผู้ป่วยบางรายอาจมีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมชั่วคราว เมื่อรักษาโรคดีแล้ว หน้าที่ไตกลับสู่สภาวะปกติหรือใกล้เคียงปกติก็สามารถหยุดการฟอกเลือดได้ แต่หากไม่สามารถรักษาให้เข้าสู่ภาวะปกติ ผู้ป่วยก็จะเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรัง

...

          - หากเกิดจากผลข้างเคียงจากการใช้ยา การรักษาคือการหยุดยาที่มีผลต่ออาการไตวายเฉียบพลันในทันที และรักษาประคับประคอง รอให้ไตฟื้นฟูหน้าที่กลับมาทำงานเป็นปกติ

     1.2 ไตวายเรื้อรัง เป็นผลจากโรคเอสแอลอีที่มีไตอักเสบและไม่สามารถควบคุมรักษาการอักเสบได้ ทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้กลับไปเป็นปกติได้ การรักษาที่ทำได้คือการชะลอการเสื่อมของไตไม่ให้เสื่อมเร็ว เช่น การควบคุมความดันโลหิต การควบคุมระดับไขมันในเลือด การรับประทานอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง เช่น การควบคุมระดับโพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียมและฟอสเฟตในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายแล้ว การรักษาคือการทดแทนการทำงานของไต เช่น การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างไตทางช่องท้อง หรือการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไต

2. หัวใจและหลอดเลือด

     2.1 หลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบหรือเส้นเลือดสมองตีบ ผู้ป่วยเอสแอลอีมีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งมากกว่าคนปกติ และเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในผู้ป่วยเอสแอลอี

     2.2 ไขมันในเลือดสูง อาจเกิดจากตัวโรคเอง โดยเฉพาะผู้ที่มีไตอักเสบและมีการรั่วของโปรตีนทางสายปัสสาวะปริมาณมาก หรือเกิดจากการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรได้รับการรักษา เพื่อป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและเส้นเลือดอุดตันในอนาคต

     2.3 ลิ้นหัวใจรั่ว เป็นผลแทรกซ้อนจากโรคเอสแอลอี หากอาการไม่รุนแรงสามารถรักษาแบบประคับประคองด้วยยาได้ หากรุนแรงอาจต้องได้รับการผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ

3. ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

     3.1 ภาวะกระดูกพรุน เป็นผลข้างเคียงที่สำคัญของการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหัก อีกทั้งผู้ป่วยจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด เพื่อป้องกันโรคกำเริบ ดังนั้นผู้ป่วยควรได้รับการเสริมแคลเซียม และวิตามินดี เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน และหากเกิดภาวะกระดูกพรุนแล้ว ควรได้รับยารักษาโรคกระดูกพรุนร่วมด้วย

     3.2 ภาวะกระดูกตาย (Osteonecrosis) มักเกิดบริเวณหัวกระดูกสะโพก สาเหตุเกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งอาจเกิดจากโรคเอสแอลอีเองร่วมกับการใช้ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง ปัจจุบันยังไม่มีการป้องกัน อาการที่สำคัญคือ อาการปวดบริเวณข้อที่เกิดอาการ การวินิจฉัยใช้การเอกซเรย์ หรือเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การรักษาคือการดูแลรักษาข้อ ไม่ลงน้ำหนักมากเกินร่วมกับการรับประทานแคลเซียมและวิตามินดีในขนาดที่เหมาะสม อาจชะลอการยุบตัวของหัวกระดูกสะโพกได้ หรือการทำการรักษาด้วยการผ่าตัด ลดความดันในหัวกระดูกเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงดีขึ้น หรือรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก

...

     3.3 กล้ามเนื้อลีบอ่อนแรง เป็นผลจากตัวโรคที่มีกล้ามเนื้ออักเสบ หรืออาจเป็นผลจากการใช้ยาสเตียรอยด์ ทำให้กล้ามเนื้อต้นแขนตัน ขาลีบลง สามารถรักษาโดยควบคุมการอักเสบ และทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ สามารถป้องกันโดยการออกกำลังกาย เพิ่มสมรรถภาพของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะต้นแขนและต้นขา

4. ตา

     4.1 ต้อหิน เป็นโรคที่มีความดันลูกตาสูง เกิดจากผลข้างเคียงของการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน ดังนั้น ผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์จึงควรได้รับการตรวจตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

     4.2 ต้อกระจก เกิดจากผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์เช่นเดียวกัน หากเป็นมากสามารถรักษาด้วยการเปลี่ยนเลนส์ตาเทียม

     4.3 จอประสาทตาเสื่อม เกิดได้จากตัวโรคเอง หรือเกิดจากการใช้ยาต้านมาลาเรีย หากผู้ป่วยใช้ยาต้านมาลาเรียควรได้รับการตรวจตาก่อนได้รับการรักษา และตรวจตาปีละครั้ง

5. ฮอร์โมน

     5.1 หมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร มักพบในผู้ป่วยที่ได้รับยาซัยโคลฟอสฟามายด์ ตัวยาจะทำให้รังไข่หยุดทำงานก่อนวัยอันควร ผู้ป่วยไม่สามารถมีบุตรได้ และไม่มีประจำเดือน ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะนี้คือ ผู้ป่วยได้รับยาเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี และ/หรือได้รับยาซัยโคลฟอสฟามายด์ต่อเนื่องในปริมาณมาก

...

     5.2 เบาหวาน มักเกิดขณะที่ได้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูง ควรได้รับการรักษาเบาหวานด้วย และเมื่อลดขนาดยาสเตียรอยด์ สามารถลดขนาดยาหรือหยุดการใช้ยาเบาหวานได้

6. มะเร็ง

     6.1 มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยที่ได้รับยาซัยโคลฟอสฟามายด์ต่อเนื่องในปริมาณมากและเป็นระยะเวลานาน มีโอกาสเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะสูง เนื่องจากตัวยาขับออกทางปัสสาวะ การป้องกันคือขณะให้ยาควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อขับยาออกจากกระเพาะปัสสาวะอย่างรวดเร็ว และลดระยะเวลาที่ยาอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ

     6.2 มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีมีโอกาสเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากกว่าคนทั่วไป นอกจากนั้นการได้รับยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด โดยเฉพาะซัยโคลฟอสฟามายด์ ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากกว่าคนปกติ

-----------------------------------------

แหล่งข้อมูล

ผศ.พญ.พิณทิพย์ งามจรรยาภรณ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

...