นับตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา มีข่าวปรากฏในสื่อมวลชนต่างๆเป็นระยะๆ ว่าบริษัทไทยชื่อดัง 2 บริษัท ที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยอย่างดียิ่ง...จะมีอายุครบ 100 ปีบริบูรณ์ และจะมีการเฉลิมฉลองตามสมควรภายใน พ.ศ.นี้

ได้แก่กลุ่ม “บริษัทสุภัทรา” เจ้าของกิจการเรือข้ามฟากและเรือด่วนเจ้าพระยา ตลอดจนเรือท่องเที่ยวทันสมัยหลายสิบลำที่โลดแล่นไปตามลำน้ำเจ้าพระยาและลำคลองใหญ่น้อยต่างๆ

กับกลุ่ม “สิทธิผล 1919 จำกัด” เจ้ายุทธจักรด้านการผลิตและจำหน่ายอะไหล่ยานยนต์ตลอดจน ยางรถจักรยานยนต์ และอุปกรณ์ แสงสว่าง ฯลฯ อันดับต้นๆ ของประเทศไทย

การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะมีอายุยืนยาวถึง 100 ปี แถมยังมั่นคงแข็งแรงส่อแววว่าจะอยู่ต่อไปได้อีกนานหลายสิบปีในอนาคตข้างหน้า ย่อมไม่ใช่เป็นเรื่อง “ฟลุก” หรือ “โชคเข้าข้าง” อย่างแน่นอน

หากแต่เป็นเรื่องของความรู้ ความสามารถ ในการบริหารจัดการตลอดจนวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กรหรือบริษัทนั้นๆ ที่สามารถบริหารได้อย่างดียิ่ง และมองเหตุการณ์ข้างหน้าได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งได้สร้างทายาทให้รับช่วงต่ออย่างเหมาะสม

ทีมงานซอกแซกได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารรุ่นปัจจุบันของทั้ง 2 กลุ่ม รวมทั้งศึกษาจากเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จะค้นหาได้มาพอสมควร เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะหยิบยกเรื่องราวความเป็นมาของทั้ง 2 กลุ่มบริษัทมาถ่ายทอดต่อสัก 2-3 สัปดาห์ จากนี้ไป

เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังที่จะได้เรียนรู้ถึงวิถีแห่งความสำเร็จของทั้ง 2 กลุ่มบริษัทที่ว่านี้ และนำมาใช้ในการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อก่อตั้งบริษัท ห้างร้าน หรือกิจการใดๆก็ตาม ให้เติบใหญ่ขึ้นเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต เช่นเดียวกับที่ทั้ง 2 บริษัทนี้ริเริ่มขึ้นในอดีตกาลและยั่งยืนยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน

...

นานๆ ทีขอเขียนเรื่องหนักๆ ในคอลัมน์เบาๆ อย่างซอกแซกวันอาทิตย์สักครั้งนะครับ...

เรามาเริ่มกันที่กลุ่ม บริษัท สุภัทรา ซึ่งมี บริษัทสุภัทรา (จำกัด) เป็นแม่ข่ายเป็นบริษัทแรกเพราะเพิ่งจะมีงานฉลองร้อยปีอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เนรมิตริมฝั่งเจ้าพระยาและแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ๆ ที่ตั้งบริษัทให้เป็นโรงละครกลางแจ้งที่มีชีวิตชีวาเสมือนจริงขนาดใหญ่ จนกลายเป็นข่าวใหญ่ในสื่อทุกแขนง ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

ทีมงานซอกแซกมีโอกาสสัมภาษณ์ผู้นำทายาทรุ่นที่ 3 ของกลุ่มคุณ สุภาพรรณ พิชัยรณรงค์สงคราม อย่างละเอียดเมื่อปีที่แล้ว และได้รับหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้น เนื่องในโอกาสฉลอง 100 ปี ที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Women of the River” รวบรวมความเป็นมาและเป็นไปของบริษัทในช่วง 100 ปี เอาไว้อย่างครบครัน

จากหนังสือเล่มนี้เองที่ทำให้เราทราบว่าผู้ให้กำเนิดบริษัทนี้เป็นสุภาพสตรีชาววังผู้หนึ่ง ซึ่งเมื่อแต่งงานออกเรือนและออกจากวังมาพำนักที่บ้านพักของสามี ณ บริเวณวังหลังฝั่งธนบุรีแล้วก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องข้ามฝั่งมาพบปะญาติมิตรและผู้หลักผู้ใหญ่ที่วังหลวงอยู่บ้าง

ทำให้ท่านทราบว่าการจะข้ามฟากมาได้ของบุคคลธรรมดาทั่วๆไปที่ไม่มีเรือเป็นของตนเองไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย...จำเป็นจะต้องอาศัยเรือของขุนนางหรือของผู้มีอันจะกินอื่นๆ เป็นพาหนะ สำหรับเดินทางไปไหนมาไหนในยุคนั้น

เป็นที่มาของแนวคิดที่จะเริ่มต้นธุรกิจ “เรือข้ามฟาก” เพื่อรับส่งผู้โดยสารทั่วไป ของ คุณหญิงบุญปั๋น ข้าหลวงคนหนึ่งของ เจ้าดารารัศมี พระราชชายา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5...ที่ต่อมาได้รับพระกรุณาจากพระราชชายาให้ลาออกจากตำแหน่งนางข้าหลวงไปแต่งงานกับข้าราชการหนุ่มที่ชื่อว่า สง่า สิงหลกะ หรือ หลวงเทพสมบัติ ซึ่งพำนักอยู่ที่ย่านวังหลัง ฝั่งธนบุรี ดังกล่าว

คุณหญิงบุญปั๋น เข้าหุ้นกับนางเผือก เพื่อนบ้านซื้อ “เรือสำปั้น” แบบต้องใช้คนยืนแจวท้ายเรือมา 1 ลำ พร้อมกับเริ่มต้นรับผู้โดยสารข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จากท่าวังหลัง สู่ท่ามหาราชเยื้องวังหลวงฝั่งพระนคร...ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2463 เป็นต้นมา

คุณหญิงบุญปั๋นกับ หลวงเทพสมบัติ หรือ สง่า สิงหลกะ มีทายาทถึง 6 คน เป็นบุตรชาย 4 คน และบุตรสาว 2 คน และตั้งชื่อลูกสาวคนสุดท้องว่า “เล็ก” หรือ ด.ญ.สุภัทรา สิงหลกะ ซึ่งใกล้ชิดแม่บุญปั๋นมากกว่าลูกคนอื่นๆ

แม้จะออกจากวังมาเป็นเวลาที่เนิ่นนาน แต่คุณหญิงบุญปั๋นก็ยังเห็นคุณค่าของความเป็น “สาวชาววัง” จึงส่งบุตรสาวคนเล็กไปถวายตัวเป็นนางข้าหลวงในวังตั้งแต่อายุ 12 ปี เช่นเดียวกับที่ท่านเคยใช้ชีวิตในวังมาก่อน

ส่งผลให้ ด.ญ.เล็ก หรือ ด.ญ.สุภัทรา สิงหลกะ ได้มีโอกาสเป็นสาวชาววังและได้รับการอบรมสั่งสอนจนสามารถทำงานสนองพระเดชพระคุณในหลวงรัชกาลที่ 6 มาจนอายุ 20 ปี เข้าสู่ยุคในหลวงรัชกาลที่ 7 จึงลาออกจากวังกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านย่านวังหลังของแม่อีกครั้ง

...

พร้อมกับช่วยแม่ดูแลกิจการเรือจ้างข้ามฟากเป็นงานหลักเรื่อยมา จนถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต คุณหญิงบุญปั๋นถึงแก่กรรมอย่างไม่คาดฝันใน พ.ศ.2475

ธุรกิจเรือจ้างข้ามฟาก ซึ่งยังเป็นเรือแจวไม่กี่ลำใน พ.ศ.ดังกล่าว จึงกลายเป็น “มรดก” ที่ น.ส.สุภัทรา สิงหลกะ จะต้องรับช่วงในการบริหารแทนมารดา นับแต่บัดนั้น

หญิงสาวอายุเพียง 22 ปี สามารถสานต่อเจตนารมณ์ของแม่จาก “เรือแจว” ข้ามฟากไปสู่ธุรกิจ “เรือยนต์ข้ามฟาก” ที่คนรุ่นเรารู้จักคุ้นเคยอย่างดีไปจนถึงยุคของ “เรือด่วนเจ้าพระยา” ได้อย่างไร?

โปรดติดตามอ่านต่อใน “ซอกแซก” สัปดาห์หน้านะครับ.

“ซูม”