พิธีทอดกฐิน...นับว่าเป็นงานบุญใหญ่จัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น ตามหลักพุทธศาสนาจัด เป็นกาลทาน แปลว่า “ถวายตามกาลสมัย”

ซึ่งคำว่ากฐินนั้นส่วนหนึ่งอาจหมายถึง “สะดึง” กรอบไม้แบบสำหรับทำจีวร

ด้วยในสมัยเมื่อครั้งพุทธกาลการทำจีวรให้มีรูปทรงตามกำหนดต้องการนั้นทำได้ยาก จึงใช้สะดึง ขึงทำให้เป็นผ้านุ่งหรือผ้าห่มขึ้นมา เรียกรวมว่า “จีวร”

แน่นอนว่าขั้นตอนการทำนั้นใช้แม่แบบทาบลงไปบนผ้า ตัดเย็บย้อม ทำให้เสร็จในวันนั้นด้วยความสามัคคีของสงฆ์ ร่วมจิตร่วมใจกันจนสำเร็จ ครั้น เมื่อพ้นกาลกำหนดเวลาแล้ว แม่แบบหรือกฐินนั้นก็จะถูกรื้อเก็บเอาไว้ใช้ในปีต่อๆไปอีก การรื้อสะดึงไม้แบบจะเรียกว่า “เดาะ”

คำว่า “กฐินเดาะ” หรือ “เดาะกฐิน” จึงหมายถึง การรื้อไม้สะดึงแบบจีวรเก็บเอาไว้ในครั้งหน้า

ส่วนหนึ่งคำว่า “กฐิน” หมายถึง ชื่อผ้าที่เป็นเสมือนศูนย์รวมศรัทธาจากผู้เลื่อมใสที่มีเป้าประสงค์ เดียวกันนำมาถวายให้เป็นกฐิน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12...

รวมเป็นช่วงระยะเวลาแค่ประมาณ 1 เดือนเท่านั้น

...

อาจจะกล่าวได้ว่า “กฐิน” เป็นสื่อสะท้อนอันหมายถึงการทำบุญ ถวายผ้ากฐินแก่พระภิกษุสงฆ์ที่ได้จำพรรษาอยู่ในวัดครบเป็นเวลา 3 เดือน จะได้นำผ้าเอาไว้ใช้ทดแทนผ้าผืนเก่าที่อาจจะชำรุด ขาด เก่า แล้วจักได้ห่มใช้ผ้าใหม่ๆ

การทอดกฐิน...วางผ้าแล้วกล่าวคำถวาย ท่ามกลางสงฆ์เรียกว่า “กาลทาน”...ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เป็นจังหวะและโอกาสที่มีน้อยจึงกระทำได้ยาก เพราะหากถวายก่อนหน้าหรือหลังจากช่วงเวลาที่กล่าวไปแล้วข้างต้นก็จะไม่ถือว่าเป็น...การทอดกฐิน

ประเพณีการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนไทยมีมาช้านานแล้ว ซึ่งมีทั้ง “พิธีหลวง” และ “พิธีราษฎร์”...การถวายผ้าพระกฐินของพระมหากษัตริย์จัดเป็นพระราชพิธีที่สำคัญประจำปี

O O O O

“ผ้าป่า”...สื่อสะท้อนหมายถึงผ้าที่ถวายพระไว้โดยให้พระมาหยิบไปเอง ในครั้งโบราณนานมาแล้วเรียกว่า “ผ้าบังสุกุลจีวร” ซึ่งจะถือหลักปฏิบัตินำมาถวายหลังล่วงเทศกาลทอดกฐินไปแล้ว

บันทึกระบุถึงการทอดผ้าป่าไว้ว่ามีหลายชนิด ด้วยกัน อาทิ ผ้าป่าหางกฐิน...การทอดกฐินแล้วทอดผ้าป่าด้วย บางแห่งที่ ทำกันมีการนำผ้าป่ามาบรรทุกเรือพ่วงไปทางน้ำเรียกว่า...ผ้าป่าโยง ผ่านถึง วัดไหนก็ทอดวัดนั้น หัวใจสำคัญของการทอดผ้าป่าก็คือ...อุทิศให้เป็นผ้าป่าจริงๆ ไม่ได้เจาะจงว่าจะถวายให้ใคร

ความสำคัญก็คือ...ศรัทธาของผู้ที่ตั้งใจทอดผ้าป่า อุทิศผ้า เครื่องบริวารเหล่านี้แด่พระภิกษุสงฆ์ผู้ต้องการผ้าบังสุกุล ผ้าป่าแบ่งเป็น 10 ประเภท ได้แก่ ผ้าที่ตกที่ป่าช้า, ผ้าที่ตกที่ตลาด, ผ้าที่หนูกัด, ผ้าที่ปลวกกัด, ผ้าที่ถูกไฟไหม้, ผ้าที่วัวกัด, ผ้าที่แพะกัด, ผ้าห่มสถูป, ผ้าที่ทิ้งในที่อภิเษก, ผ้าที่นำไปสู่ป่าช้าแล้วนำกลับมา

ในอดีตโบราณนานมา “ผ้าป่า” นั้นก็คือผ้าป่าจริงๆ ถูกทิ้งอยู่ในป่า ส่วน “ผ้าบังสุกุล” ก็คือผ้าเปื้อนฝุ่น หมายถึงว่าเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของ เป็นเศษผ้าถูกทิ้งๆขว้างๆ พระภิกษุก็เก็บเอามาปะติดปะต่อเป็นผืนเหมาะสม ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็นำมาย้อมด้วยน้ำฝาด แล้วนำมาใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม

ยุคสมัยปรับเปลี่ยนดำเนินเป็นไป ผู้คนก็นำผ้าดีๆมาถวายพระทำเป็นจีวรสำเร็จรูปไปทิ้งไว้ในป่า ป่าช้า...พาดไว้บนกิ่งไม้บ้าง พระรูปใดเจอก็ชักเอาไปหรือจะนิมนต์ให้มาชักผ้าป่าก็ได้ แล้วก็ยังมีการชักผ้าบังสุกุลในงานพิธีศพทอดสายสิญจน์โยงไว้กับโลงศพ เพื่อเป็นการอุทิศกุศลให้แก่ผู้ตาย

ถึงตรงนี้พอจะเข้าใจความ แตกต่าง...“การทอดผ้าป่า” ทอดได้ทั้งปี ไม่มีกำหนดเวลาข้อจำกัดและไม่มีพิธีมากมายเหมือน “การทอดกฐิน”

O O O O

...

บุญใหญ่งาน “ทอดกฐิน” ประจำปี ถ้าสังเกตจะเห็นว่าผู้คนจะแย่ง ...ชิงถือ “ธงมัจฉา” กับ “ธงจระเข้” กันมาก บางแห่งถึงขั้นต้องจับจองกันเอาไว้ล่วงหน้าเลยทีเดียว เพราะหนึ่งงานจะมีอย่างละหนึ่งธงเท่านั้น

ด้วยมีศรัทธาเชื่อกันว่า ...หากใครที่ได้มาบูชานั้น เงินทองจะไหลมาเทมา โชคลาภจะไหลบ่าไม่ขาดสาย เปรียบเทียบไม่ต่างกับกระแสแรงศรัทธาของผู้คนที่ต่างมุ่งหน้ามางานทอดกฐินที่จะมากันเป็นประจำทุกปี เอาข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆมาถวายวัด เอาเงินทองมาร่วมทำบุญ

งานทอดกฐินจึงถือเป็นงานบุญใหญ่ที่สุดงานหนึ่งที่จัดแค่ปีละครั้งบางวัดที่มีผู้ศรัทธามากอาจจะมีคิวจองเป็นเจ้าภาพทอดกฐินล่วงหน้านับเป็นปีหรือหลายๆปี แสดงให้เห็นถึงความศรัทธา ความร่วมแรงร่วมใจที่จะสืบสานประเพณีเก่าแก่อย่างเข้มแข็ง

ทำดี...ได้ดี ทำชั่ว...ได้ชั่ว คือสุภาษิตสอนใจ “ทำบุญ”...อย่าหวังสิ่งตอบแทน ทำด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์จะเป็นคุณกับตัวอย่างที่สุด

...

อานิสงส์ตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เทศนาไว้ คนถวายและร่วมกฐินทาน ครั้งหนึ่งจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาพระนิพพานซึ่งเป็นพระอรหันต์ก็ได้

และ...ยิ่งกว่านั้นไซร้ก่อนที่บรรดาผลทั้งหลายเหล่านั้นคือความเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี ความเป็นอัครสาวกก็ดี หรือพระอรหันต์ก็ดี กว่าจะมาถึง...พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ในขณะที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มีบารมียังไม่สูงดี ยังไม่บรรลุ...มรรคผลได้

อานิสงส์กฐินทานอันดับแรก...เมื่อตายจากความเป็นคนจะเกิดเป็นเทวดาและลงมาจุติเป็นเจ้าจักรพรรดิปกครองประเทศทั่วโลก มีมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขต 500 ชาติ...เมื่อบุญแห่งความเป็นจักรพรรดิสิ้นไป บุญหย่อนลงมาจะเป็นพระมหากษัตริย์ 500 ชาติ...เมื่อบุญแห่งความเป็นพระมหา กษัตริย์หมดไป ก็เกิดเป็นเศรษฐี 500 ชาติ...เมื่อบุญแห่งความเป็นมหาเศรษฐีหมดไป ก็เกิดเป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติ

เมื่อบุญแห่งความเป็นอนุเศรษฐีหมดไป ก็เกิดเป็นคหบดี 500 ชาติ...รวมแล้ว คนที่ทอดกฐินทานได้สักครั้งหนึ่งแล้ว “บุญ”...“บารมี” ยังไม่ทันหมดก็เข้านิพพานก่อนได้

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อ โปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

รัก–ยม