ข้อมูลที่นำมาประกอบการตัดสินใจนำมาจากข้อมูลระบาดของ SAR-CoV1 เมื่อปี 2003 ที่ฮ่องกง ซึ่งเป็นประเทศที่มีการติดเชื้อมาก รองจากประเทศจีน เป็นการวิจัยตีพิมพ์ ในนิตยสาร American Journal of Obstetrics and Gynecology
ชื่อเรื่อง Pregnancy and perinatal outcomes of women with severe acute respiratory syndrome โดยเป็นการศึกษาชนิด case series ซึ่งติดตามดูผู้ป่วยตั้งครรภ์ทั้งหมด 12 คนที่รู้ว่ามีการติดเชื้อ SAR-CoV1 ว่ามีปัญหาทางด้านอายุรกรรม ทางด้านสูติ หรือเด็กที่คลอดมีปัญหาทางด้านใดเป็นพิเศษหรือไม่ แต่ทั้งนี้ไม่ได้มีการเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ติดเชื้อ
นอกจากนั้นยังมีการเก็บตัวอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น เลือด สายสะดือ ชิ้นเนื้อรกและน้ำคร่ำอีกด้วย ผลที่ได้นั้นไม่สู้ดีนักเพราะแม่ 3 ใน 12 คน (25%) เสียชีวิต ซึ่งสูงกว่าคนทั่วไปมาก (10%)
ส่วนคนที่ติดเชื้อในการตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 1 ทั้งหมด 7 แท้งลูกไปถึง 4 คน และในไตรมาสที่ 2 และ 3 คลอดก่อนกำหนดถึง 4 ใน 5 คน คาดว่าสาเหตุที่แท้งและคลอดก่อนกำหนดนั้นน่าจะเพราะการติดเชื้อในปอดของแม่ทำให้การส่งออกซิเจนไปยังเลือดผิดปกติร่วมกับการติดเชื้อเป็นภาวะอักเสบรุนแรงและทำให้เกิดการแข็งตัวผิดปกติของเลือดร่วมด้วย
ส่วนเด็กที่เกิดมานั้นไม่ได้มีอาการแสดงถึงการติดเชื้อ และการตรวจตัวอย่างที่กล่าวก่อนหน้านี้ก็ไม่พบไวรัส
สรุปคือใน SAR-CoV1 แม่แย่และลูกเกิดก่อนกำหนด แต่ถ้าลูกรอดลูกไม่ติด การวิจัยอื่นของ SAR-CoV1 ในคนท้อง มี 5 รายจากจีนพบว่าดีทั้งแม่ทั้งลูก 2 รายจากอเมริกาดี และ 1 รายจากแคนาดาก็ดีเช่นกัน
ต่อมาในปี 2012 มีการระบาดของ MERS-CoV จึงมีการศึกษาเช่นกันแต่คราวนี้เป็นการศึกษาแบบดูย้อนหลังร่วมกับสรุปข้อมูลที่เคยตีพิมพ์มาก่อน รวมคนไข้ตั้งครรภ์ที่ติด MERS-CoV ทั้งหมด 11 คน และพบว่าเสียชีวิต 3 ราย หรือ 27% ซึ่งน้อยกว่าในคนทั่วไปเสียอีก (37%) เด็กที่ออกมาเสียชีวิต 3 รายเช่นกัน
...

ทั้งนี้ คิดว่าเป็นเพราะการติดเชื้อรุนแรงเป็นต้นเหตุ ไม่ได้มีการเก็บตัวอย่างในเด็ก
และก็มาถึงปลายปี 2019 เมื่อ COVID มาถึง การมาถึงคน คาดว่าเกิดมาจากการผสมผสานยีนของไวรัสในตัวนิ่ม จนสุดท้ายสามารถมาติดคนและมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นอีกในคนจึงสามารถทำให้ติดแบบคนสู่คนได้ บทความตีพิมพ์เยอะมากและเป็นข้อมูลสำคัญที่แสดงถึงความยากลำบากในการซักประวัติและแยกแยะ เพราะบ้างก็ไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อได้ บ้างก็อาการเล็กน้อย บ้างอาการ เยอะหน่อยแต่ตรวจโดยการเก็บเชื้อหลังคอก็ไม่พบ จึงเป็นบทบาทของทำซีทีสแกนปอด ถึงพบความผิดปกติ
ส่วนบทความในคนท้องนั้นมีไม่มาก โดยระยะแรกตีพิมพ์ในวารสารแลนเซต (Lancet) เรื่อง Clinical characteristics and intrauterine vertical transmission Potential of COVID-19 infection in nine pregnant women : a retro-spective review of medical records เป็นการวิจัยเชิงศึกษาย้อนหลังดูผู้หญิงตั้งครรภ์ 9 คนที่ติดเชื้อไวรัสในการวิจัย
นอกจากเก็บน้ำคร่ำ และเลือดจากสายสะดือแล้ว ที่เหนือกว่าคือมีการเก็บตัวอย่างจากหลังคอของเด็กแรกเกิดและจากนมแม่ไปตรวจอีกด้วย ผลปรากฏว่าแม่ทั้ง 9 รายไม่ได้มีการติดเชื้อปอดรุนแรง และถึงแม้จะมี 4 ใน 9 ราย คลอดก่อนกำหนด แต่ทางคณะวิจัยคิดว่าเป็นปัญหาที่มีในการตั้งครรภ์ทำให้มีโอกาสเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดอยู่แล้วและไม่น่าเกี่ยวกับการติดเชื้อ COVID-19

ส่วนเด็กนั้นก็ดี ไม่พบเชื้อ และนมแม่ก็ไม่พบเชื้อเช่นกัน
บทความที่สองตีพิมพ์ในวารสาร Translational pediatrics เรื่อง Clinical analysis of 10 neonates born to mothers with 2019-nCoV pneumonia เป็นการวิจัยเชิงศึกษาย้อนหลังเช่นกัน ซึ่งดูผู้หญิงตั้งครรภ์ และเด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ ตัวแม่เอง ไม่ได้มีอาการรุนแรงแต่ที่น่าเป็นห่วงคือมีเด็กที่คลอดก่อนกำหนดถึง 6 ราย ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการที่ปอดติดเชื้อและทำให้ออกซิเจนในแม่ระดับตกลงไปและกระตุ้นการคลอดนั่นเอง สรุป COVID-19 ดูจะไม่ได้มีอันตรายต่อแม่
ส่วนทำไมถึงไม่มีผลร้ายแรงต่อแม่ทั้งที่การตั้งครรภ์ทำให้ภูมิคุ้มกันตกลงนั้น คาดว่าอาจจะเป็นเพราะเดิมที การอักเสบรุนแรงในปอดทำให้ปอดเสียหายอาจจะเกิดจากภูมิคุ้มกันที่ตื่นเต้นเกินไปกับไวรัสและโจมตีอย่างแรง การที่ภูมิคุ้มกันไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีมากในผู้หญิงตั้งครรภ์จึงกลายเป็นผลดีต่อแม่ก็เป็นได้
และจบข้อสรุปของ COVID-19 ในคนท้อง ที่คำแนะนำของฝั่งอังกฤษ (Royal College of Obstetricians and Gynaecologists) ที่ออกมาต้นเดือนมีนาโดยใช้งานวิจัยของจีนที่กล่าว เป็นตัวประกอบการออกคำแนะนำ พบว่าสรุปเหมือนๆกัน ก็เลยขอใช้คำแนะนำของอังกฤษเป็นข้อสรุปของหมอเลยแล้วกันว่า...
...
ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ได้เสี่ยงติดเชื้อรุนแรงกว่าคนทั่วไป ไม่ได้มีหลักฐานว่าไวรัสสามารถผ่าน รกไปสู่ลูก ไม่ได้มีหลักฐานว่ามีไวรัสในช่องคลอด จึงสามารถแนะนำคลอดตามธรรมชาติได้ และไม่พบไวรัสอยู่ในน้ำนมแม่จึงสามารถ ให้นมลูกได้ครับ

สุดท้ายนี้มีการเร่งวิจัยยาที่อาจจะใช้ได้แต่ก็จะเป็นอีกครั้งที่ยาหลายๆตัวอาจจะไม่ สามารถ ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้เพราะความเสี่ยงพิการของลูก ก็คงต้องรอผลว่าใช้ดีจริงไหม ถ้าดีจริง เมื่อแม่ทำท่าจะไม่ไหว ก็คงจำต้องใช้เพื่อรักษาชีวิตแม่ นอกเหนือจากยา เรื่องการผลิตวัคซีนก็เช่นกันเพราะการวิจัยแรกๆ จะไม่ได้รวมผู้หญิงท้อง สุดท้ายเมื่อมีวัคซีนก็จะไม่สามารถให้ในหญิงท้องได้ในระยะแรก
หวังว่าประเทศเราจะสามัคคี ไม่เห็นแก่ตัว และกักกันการระบาดได้อย่างฉับไวนะครับ.
หมอดื้อ