ถ้าพูดถึง "เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ" ภาพที่คุณเห็นเธอเป็นแบบไหน
นางเอกสาวแถวหน้าของเมืองไทยที่มาพร้อมกับแววตาและรอยยิ้มที่สดใส ทำให้ใครหลายคนเข้าใจว่าเธอมีความเป็นเด็กหญิงหวานใส แลดูน่าทะนุถนอม นั่นเป็นภาพที่เราอาจจะจำติดตามาตั้งแต่สมัยที่เธอเพิ่งเข้าวงการกับภาพยนตร์เรื่องแรก หนีตามกาลิเลโอ ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีภาพหลายๆ ภาพที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อและทำให้เราเข้าใจบางอย่างผิดเกี่ยวกับเธอ
"คนชอบคิดว่าเต้ยต้องชอบสีชมพู เต้ยไม่ได้ชอบสีชมพูนะคะ" เธอพูดติดตลกกับ MIRROR ยังมีอีกหลายอย่างที่คนไม่รู้เกี่ยวกับเต้ยและตีความกันไปจากภาพที่เราได้เห็นเธอในบทบาทต่างๆ แต่ถ้าคุณได้นั่งคุยกับเธอ แม้เพียงเวลาสั้นๆ คุณจะพบว่าผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยความจริงจัง จริงใจ และชัดเจน

แรงจูงใจให้มาทำงานในวงการบันเทิงของ "เต้ย จรินทร์พร"
...
"เข้าวงการได้ยังไง ตอนนั้นเต้ยก็ไปแคสติ้งปกติค่ะ เพราะอยากได้เงิน (หัวเราะ) อยากมีเงินมาใช้จ่ายส่วนตัวโดยไม่ต้องขอแม่ เลยไปแคสติ้ง เล่นหนังโฆษณา จนได้มาเล่นหนังเรื่องหนีตามกาลิเลโอ จากที่แรกๆเราทำงานเพราะอยากได้เงินมาใช้ส่วนตัว พอเริ่มได้รับบทที่จริงจัง เราใช้เวลากับมัน ทุ่มเทกับมัน เต้ยก็เริ่มรู้สึกรักในงานนี้มากขึ้น" เต้ยเปรียบให้เห็นภาพว่า ชีวิตการเข้าวงการของคนอื่นอาจจะเหมือนขึ้นลิฟต์ ของเต้ยคือเหมือนเดินเท้าและมาไต่ขึ้นบันไดทีละขั้น "ด้วยต้นทุนที่เรามีอยู่ ไม่เหมือนคนอื่นเลย เป็นนางเอกต้องสูงหุ่นดี สวยเป๊ะ เต้ยตัวเล็กมาก เต้ยเลยรู้สึกว่าเราโชคดีมากๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เต้ยทำมาตลอดคือเต้ยไม่เคยคิดจะแข่งกับใคร สิ่งที่เราสามารถทำได้คือพัฒนาตัวเอง บางครั้งก็จะกดดันตัวเอง ทำการบ้านหนักมาก เพื่อให้ทำซีนนั้นได้ดี เวลาเจอซีนยากๆ ต้องทำการบ้าน รู้สึกอยากทำให้ได้ดี มันอาจจะไม่เสมอไป ต้องใช้สมาธิมากๆ บางวันที่ดีตามที่เราวางไว้ เราก็จะฟิน รู้สึกว่าเราทำได้เนี้ยบ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เราต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ มันคือการเรียนรู้และแข่งกับตัวเองและพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ"
นักแสดงอย่าง "เต้ย จรินทร์พร" กับการทุ่มสุดตัวในทุกบทบาท
"บทบาทที่เต้ยรับในแต่ละครั้ง มีอิทธิพลกับชีวิตเรามาก มีบางครั้งที่เต้ยติดความเป็นตัวละครมาในชีวิตจริง อย่างเรื่องทุ่งเสน่หา (ละครเรื่องใหม่ ออกอากาศเดือนมกราคม 2563) ก็ติด มันเครียดมาก ร้องไห้ทั้งวัน หรือตอนที่เล่นคลื่นชีวิตก็ติดมา ซึ่งการเป็นนักแสดงจะไม่เหมือนงานอื่นๆ นะคะ เช่น ถ้าทำงานออฟฟิศ เราอาจจะมีอาการเครียด อาจจะเครียดงานหรือเครียดคน เราก็มีวิธีรับมือที่แตกต่างกันไป แต่กับนักแสดง เราต้องเป็นชีวิตอีกหนึ่งชีวิต ถ้าตัวละครที่เราเล่น ชีวิตรันทด เราก็ต้องรันทดเหมือนเค้า ซึ่งร่างกายเราไม่รู้หรอกว่าเรากำลังรันทดเพื่อการแสดงอยู่ เวลาร้องไห้ มันคือร้องไห้ ร้องไห้หนักมาก โกรธ เครียด ก็คือไปทั้งตัว เพราะฉะนั้นสารในสมองต่างๆ ก็ส่งผลกับร่างกายมาก ทุกอย่างคือการใช้ความรู้สึก ร่างกายและจิตวิญญาณเราในการทำงานจริงๆ"

"เต้ย จรินทร์พร" เป็นดาราคนแรกๆ ที่โดน "โซเชียล บูลลี่" จริงไหม
"เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มี Social Media สมัยยังเป็นเว็บบอร์ด เต้ยก็โดนคนเอาไปว่าแปลกๆ ตอนเข้าวงการมาใหม่ๆ คนก็หาว่าทำจมูก พี่ หนูไม่ได้ทำ แค่ใส่บิ๊กอายอย่างเดียวตอนนั้น (หัวเราะ) พอเต้ยบอกไม่ได้ทำ ก็หาว่าทำไมต้องโกหก คือเต้ยเป็นคนที่...ถ้าทำจะบอกว่าทำค่ะ แล้วตอนนั้น คนก็ไปคอมเมนต์กันตามเว็บบอร์ดว่าเต้ยเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ เลยเถิดไปจนถึงขั้นว่าพ่อเป็นเจ้าของห้างดัง ตอนนั้นเต้ยเสียใจมากนะคะ เพราะเราค่อนข้างแคร์กับสิ่งที่คนอื่นคิดกับเรา ว่าทำไมเขาว่าเราอย่างนั้น เราไม่รู้จักเขาซะหน่อย ทำไมเขามาตัดสินเราแบบนั้นแบบนี้ ตอนนั้นคือรู้สึกแย่มากๆ พอเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็ดีขึ้น สว่างขึ้น"
การรับมือกับการโดนว่าแรงๆ ในโซเชียลมีเดีย
"ช่วงที่โดนเรื่องแรงๆ ตอนนั้น รับมือไม่ได้เลยค่ะ (หัวเราะ) หนูเสียใจมาก ช่วงนั้น หนูขอพรทุกวันขอให้มีแต่คนรักหนู หลังจากที่รู้สึกดีขึ้น เติบโตขึ้น เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ก็มีอีกเรื่องที่เข้ามา เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ อาจจะเพราะเต้ยไม่ค่อยมีข่าวด้วยมั้งคะ มันเลยทำให้เรารู้สึกเจ็บอีกครั้ง พี่เชื่อมั้ย ไม่ต่างกับตอนที่โดนเมื่อ 10 ปีที่แล้วเลยนะ ตอนนั้นมีข่าวว่าเราไปคบเพื่อนของแฟนเก่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาแค่ชื่อคล้ายกัน เป็นคนในวงการเดียวกันเฉยๆ ตอนนั้นที่โดนเต้ยว่ามันเจ็บมากกว่าที่โดนตอนเด็กอีกค่ะ ตอนเด็กยังใสๆ พอคิดได้ก็จบ แต่พอโตคือเราก็เครียด สิ่งแรกที่คิดคือข่าวนี้จะกระทบกับงานมั้ย เพราะหนูต้องดูแลครอบครัว เต้ยเป็นห่วงคนอื่น เป็นห่วงงาน เต้ยใช้เวลา 2 ปี ในการเยียวยาตัวเองจากข่าวนั้น และสุดท้ายเต้ยก็คิดได้ว่า อย่าเอาชีวิตของเราไปผูกติดกับความคิดเห็นของใครเลย เราต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อความคิดของใครเหรอ คิดแบบนั้นได้ ก็เลย….เป็นตัวของตัวเองดีกว่า"
...

วิธีจัดการความโกรธของ "เต้ย จรินทร์พร"
"เต้ยเป็นคนที่ไม่ค่อยโกรธนะคะ ที่พี่ถามว่าเวลาโกรธหรือไม่ได้ดั่งใจเรื่องงานจะทำยังไงแล้วเต้ยตอบว่าเงียบ เหมือนเราเป็นคนชอบวิเคราะห์ ว่าเขามีเหตุผลอะไร ทำความเข้าใจเขาก่อนว่า เป็นเพราะสาเหตุแบบนั้นแบบนี้ หรือพยายามเข้าใจเขาว่าเขาอาจจะมีเหตุผลของเขา สุดท้ายเราก็จะรู้สึกว่า ไม่เป็นไรหรอก"
การทำความรู้จักกับใจตัวเองคือเวลาพักผ่อนของเต้ย
"เต้ยชอบไปชาร์จแบตที่วัด เต้ยปฏิบัติธรรมมาเป็น 10 ปีแล้วค่ะ ถ้ามีเวลาเล็กๆ น้อยๆ เต้ยก็จะแอบไปแวบหนึ่ง วิธีการชาร์จพลังแต่ละคนไม่เหมือนกัน การปฏิบัติธรรม เต้ยว่า...จากน้ำที่ขุ่น พอได้อยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ ตะกอนที่ทำให้น้ำขุ่นก็จะตกลง น้ำจะใสขึ้น ทุกอย่างอยู่ที่จิตเรา เต้ยว่าธรรมะเป็นสิ่งที่นำมาใช้กับชีวิตจริงได้ทุกอย่าง เราเอามาใช้กับตัวเอง เพราะทุกอย่างเริ่มจากตัวเองก่อน ถ้าเรารู้จักตัวเองดีเราจะไม่ทำความเสื่อมเสียให้คนอื่น"

มุมมองที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์
คนที่มีอิทธิพลมากๆ กับเต้ยคือครอบครัว เมื่อก่อนเราพูดว่าเราดูแลครอบครัว แต่เวลาที่อยู่กับเขา เราไม่ได้ดูแลจริงๆ ดูแลด้วยเงินทองมันไม่ใช่ เต้ยเลยตั้งใจว่าปีนี้จะอยู่กับครอบครัวมากขึ้น อย่างบางทีเราอยู่กับเขา แต่เราเล่นโทรศัพท์ เพราะเวลาทำงานหนูจะไม่จับโทรศัพท์เลย พออยู่กับพ่อแม่ก็หยิบขึ้นมาเล่น เขาก็ต้องหาวิธีคุยกับเรา ซึ่งมันก็สะท้อนว่าเราไม่ได้อยู่กับเขาจริงๆ สักหน่อย แต่ตอนนี้เราก็ตั้งใจว่าอยู่กับเขาคืออยู่ตรงนั้นจริงๆ ซึ่งเต้ยทำแล้วมันก็รู้สึก Happy และ Healthy กว่า เต้ยอยากมีเวลาแบบนี้กับครอบครัวเยอะๆค่ะ"
แล้วมุมมองเรื่องความรักล่ะ
"มุมมองชีวิตกับเรื่องต่างๆ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากอายุ สิ่งที่เราเจอ เป้าหมายของชีวิตในแต่ละช่วง ความสัมพันธ์ ถ้าเราเจอความสัมพันธ์ที่เป็นน้ำให้เราได้เราเหมือนได้พัก เราก็จะโอเค เมื่อก่อนคิดว่าไม่แต่งงานดีกว่า ไม่ต้องมีลูก พอโตขึ้น ใกล้ 30 ไม่หนีไม่ปฏิเสธ ไปเรื่อยๆ ตามจังหวะชีวิต เต้ยผ่านช่วงเหวี่ยงๆ มาแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมองในหลายเรื่องในชีวิต เราได้เห็นอะไรอีกมุมนึงจากที่คิดว่าก่อนหน้านี้ดีแล้ว มันให้บทเรียนอะไรกับเต้ยค่อนข้างเยอะ อย่างความรักครั้งนี้ เรานิสัยต่างกันมาก มีอะไรที่เรียนรู้มาก เมื่อก่อนคือถ้าเข้ากันไม่ได้ก็จะแยกย้าย แต่ตอนนี้เหมือนได้ท้าทายตัวเองเพื่อเรียนรู้อีกคน ต้องรับฟังและเรียนรู้อีกฝ่ายกันจริงๆ มากขึ้น ครั้งนี้เราก็เปิดใจที่จะเรียนรู้ความแตกต่างเรียนรู้กันและกันมากขึ้น"
"เต้ย จรินทร์พร" ในวัย 29 กับเป้าหมายต่อไปของชีวิต
"ตอนนี้อยากโฟกัสที่คุณภาพของงานมากกว่าจำนวนงานค่ะ เต้ยอยากทำงานที่เราชอบและอินจริงๆ อยากสร้างคุณภาพกับมันจริงๆ นิ่งขึ้น แล้วก็เลือกมากขึ้นค่ะ"
...

สิ่งที่เต้ยอยากจะบอก
"อยากบอกน้องๆ ผู้หญิงที่อยู่ในวัยรุ่นว่า อยากให้รักตัวเองค่ะ เพราะเป็นวัยที่กำลังเผชิญกับสังคม โรงเรียน ความรักวัยรุ่น อยากให้เห็นคุณค่าในตัวเองเยอะๆ มีสติกับความรัก อย่าเอาตัวเองไปผูกกับอะไรเกินไป โดยเฉพาะสมัยนี้ที่ social network มันกว้างมาก มันทำให้เราเกิดอารมณ์เปรียบเทียบเยอะมาก อยากบอกว่าเราไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใครมากหรอก คนที่เราเห็นว่าเค้ามีความสุข ในชีวิตจริงเค้าก็คงต้องเผชิญอะไรกับตัวเองเหมือนกันเพราะฉะนั้นอยากให้เค้าค้นหาตัวเอง ให้สวยในแบบที่อยากเป็น ไม่ต้องเป็นแบบคนไหน"
นี่คือหนึ่งในบทสัมภาษณ์ที่ยาวที่สุดที่ MIRROR เคยทำ แต่อยากจะบอกคุณตรงๆ ว่า เราไม่อยากตัดคำพูดส่วนไหนของ "เต้ย จรินทร์พร" ทิ้งเลย เพราะเธอได้สะท้อนตัวตนที่ดีที่สุดของเธอในวันนี้ผ่านการพูดคุยครั้งนี้ MIRROR หวังว่าเมื่อคุณได้อ่านแล้ว คุณจะได้คำตอบบางอย่างของชีวิตและได้พบกับตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเองเช่นกันนะคะ

Credit :
Lady MIRROR : เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ
Make-up : Andi
Hair : Alexandul
Stylist : กฤษฎา เจริญเกียรติก้อง
Photographer : อธิบดี สุวรรณโชติ
Interview : ฐาดิณี รัชรระเสวี
Graphic Designer : ถวิกา ไพบูลย์