“ไม่ยึดติด ไม่พอใจกับสิ่งที่จะก่อให้เกิดกิเลส”....คำสอนของหลวงปู่บุญมีวัดสระประสานสุข จังหวัดอุบลราชธานี ผู้พลิกชีวิตชายคนหนึ่งที่เคยหลงระเริงกับการมีชื่อเสียง เงินทองที่ได้มาง่ายและก็หมดแบบง่ายๆ...

เขาคนนี้มีชื่อว่า นาวินทร์ ซ้ายศิริ อายุ 52 ปี เป็นช่างผมจังหวัดร้อยเอ็ด มีดีกรีเป็นถึงแชมป์ออกแบบทรงผมแห่งประเทศไทย grand champion และแชมป์นานาชาติกรรไกรทอง นครเซี่ยงไฮ้ เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะเป็นแชมป์ผม ผมเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด โตมากับครอบครัวที่คุณตาเป็นคนทำบั้งไฟ สำหรับงานแข่งงานมงคลเป็นคนที่ชาวบ้านนับถือมากอีกทั้งท่านยังมีความรู้ มีอาคมชอบช่วยเหลือผู้คน

แถมยังเป็นศิลปินหมอแคน เป็นช่างทำแคนมือฝีมือดีของภาคอีสานอีกด้วย

ถึงจะเกิดโตในครอบครัวที่มีความพร้อมที่จะส่งเสริมให้เส้นทางชีวิตเป็นได้อย่างใจต้องการแต่ชีวิตวัยเด็กก็พานพบกับอุปสรรคมากมาย “พ่อกับแม่เลิกกันตั้งแต่ผมยังไม่เกิด พ่อเป็นหัวหน้าคณะหมอลำ แม่เป็นนางเอกหมอลำ เกิดมาเลยต้องยกให้เป็นลูกของตากับยายแทนเพื่อให้ได้ใบเกิดและใช้นามสกุลของตา”

...

ในวัยเด็กก็มีความฝันอยากเป็นทหาร ตำรวจ หรือทำงานรับราชการ แต่ด้วยความเป็นผู้ชายที่ตัวเล็ก ทำงานหนักก็ไม่ได้ ทำไร่ทำนาก็ไม่ไหว จึงต้องออกแบบชีวิตตัวเองให้ไปเอาดีในสายวิชาชีพเสริมสวย

“ผมเลือกเรียนเสริมสวยที่ กศน.แผนกช่างตัดผมทั้งหญิงทั้งชาย ซึ่งสมัยนั้นมีอะไรก็เรียนหมด...หมดหลักสูตรแล้วก็ขออยู่ต่อ เวลาออกหน่วยตัดผมได้ตัดผมเยอะมาก ตั้งแต่เด็ก คนแก่ ผู้หญิง ผู้ชายได้ตัดหมด ขออยู่กับครูที่สอนเวลารุ่นใหม่มาก็ช่วยสอน มีทักษะการตัดมากๆแต่ยังขาดเรื่องประสบการณ์”

O O O O

ด้วยมีวิชาติดตัวแล้ว นาวินทร์ ซ้ายศิริ จึงมุ่งมั่นเดินทางค้นหาตัวเองที่เมืองหลวง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ เขาได้ทำงานในร้านมีชื่อเสียง ถูกผลักดันให้ลงแข่งขันในเวทีทดสอบความสามารถด้านการทำผมทุกเวทีที่มีในเมืองไทย ทั้งยังได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทีมชาติไปแข่งยังต่างประเทศ...

จนได้ “แชมป์” มาครองเต็มความภาคภูมิใจ... “เป็นแชมป์แล้วก็ต้องมีการตอบแทนผู้สนับสนุน รายได้จากช่างผมธรรมดาพุ่งสูงเป็นสิบเท่า มีอะไรจ่ายให้หมด ทุ่มแบบเว่อร์เกินตัว เป็นช่างผมอยู่กรุงเทพฯก็ดูจะเล็กไป เลยต้องไปเปิดโรงเรียนเสริมสวยที่อุบลราชธานี ก็ได้เจอคนมากหน้าหลายตา จนมีชีวิตติดการทุ่ม...มีเท่าไรก็จ่ายให้หมด มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ และในที่สุดชีวิตผมก็ตกต่ำจนเกือบตาย”

นี่เองที่เป็นสัจธรรมของโลก...เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง แต่การลงครั้งนี้ของนาวินทร์ ซ้ายศิริ ลงแบบถูกสั่งให้ตาย “ผมถูกวางยา ไม่รู้ว่ามาจากทางไหน กินไม่ได้น้ำหนักตัวลดเหลือ 30 กิโลฯ ผอมจนแทบประคองตัวไม่อยู่ รักษามาหลายหมออาการไม่ดีขึ้น จนทางบ้านต้องพาไปรดน้ำมนต์ และพาไปหาหลวงปู่บุญมี ที่วัดสระประสานสุข จ.อุบลฯ ท่านโด่งดังเรื่องการรักษาและมีปรัชญาแฝงให้ทุกคนทำความดีไม่ยึดติด”

สำหรับวิธีการรักษาของหลวงพ่อบุญมี เป็นที่ร่ำลือกันว่า วิธีปฏิบัติจะต่างไปจากเกจิอาจารย์อื่นๆ ว่ากันว่าหลวงพ่อจะโยนอาหารให้กับผู้ที่มาเยือน โดยท่านกล่าวไว้ว่า

...

“คนเรานั้นจะต้องตั้งอยู่ในสติที่มั่นคง จิตไม่เผลอ ไม่ประมาท”

เช่นเดียวกับนาวินทร์ ในวันที่ป่วยแทบปางตาย สติสตังไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว หลวงพ่อบุญมีเห็นดังนั้นถึงกับใช้ฝ่าเท้าเหยียบหน้า...เอาข้าวเหนียวยัดใส่ปากให้กินไปพร้อมๆกับสมุนไพรที่ต้มเอาไว้รักษาโรคร้าย

“การที่เราผอมก็เพราะไม่มีสารอาหารอะไรเลย ตอนนั้นถือศีลกินเจไม่กินเนื้อสัตว์ หลวงพ่อบอกว่า... มึงต้องกินปูกินปลา พ่อแม่หาให้กินมาจนโต มึงจะไม่กินได้อย่างไร เหยียบหัวเสร็จก็กินข้าวได้ทันทีเลย”

และหลวงพ่อก็ให้ท่อง “พุทธ มะอะอุ นโมพุทธายะ อุตะมังวะลัง” ให้นึกถึงพระแก้ว 2 องค์ คือบิดา...มารดา ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่ทุกคนกราบไหว้ได้ตลอดกาล...เมื่อกินได้นอนได้ จิตใจเข้มแข็งขึ้น จึงย้ายตัวเอง...ครอบครัวมาทำร้านเสริมสวยอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิดเมืองร้อยเอ็ด ตัดขาดไม่คบหาสมาคมกับคนในวงการ ตั้งหน้าทำมาหากินพร้อมๆกับศึกษาพระธรรม จนกระทั่งชีวิตต้องพบจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

O O O O

...

“หลังจากได้รูปหล่อหลวงพ่อบุญมีมาผมก็ติดไว้หน้ารถ ให้ท่านช่วยเตือนสติ และเป็นที่พึ่งทางจิตใจจนกระทั่งวันหนึ่ง แผ่นกาวที่ติดอยู่ใต้ฐานพระหลุด ก็เลยเอามาเช็ดจะติดใหม่ ทำให้ผ้ากำมะหยี่ปิดฐานพระหลุดมาด้วยสิ่งที่เห็นคือพระองค์เล็กๆที่ซ่อนอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นพระรอดที่ทำให้เรารอดชีวิตมาได้”

และหลังจากนั้นเหมือนมีมวลสารที่ดึงดูดทุกอย่างเข้าหากัน ได้รับการแบ่งมรดกจากคุณตาซึ่งมีที่ดินและบ้านเก่าหลังโต อยู่ภายในสวนที่มีต้นไม้ใหญ่ ไม้โบราณ ปลูกไว้ร่มรื่นเป็นจำนวนมาก

“ผมคิดว่าบ้านเก่าน่าที่จะไม่มีอะไรก็เลยให้คนไปเก็บกวาด ก็มีของเก่าๆที่คุณตาเก็บรักษาไว้ อาทิ กลองเส็งใบโต 4-5 ใบอยู่ใต้ถุนบ้าน มีผึ้งหลวงมาทำรังอยู่เต็มไปหมด ผมกลัวจะต่อยลูกๆ หลานๆเลยนำไปถวายวัด ให้คนงานเข้าไปรื้อบ้านเพื่อเตรียมจะบูรณะใหม่...พบสิ่งที่คุณตารวบรวมไว้คือห่อพระเครื่อง ห่อใหญ่ 2-3 ห่อเก็บไว้ในเสาเรือน ช่างรื้อบ้านเอามาให้ดู ถึงกับตกใจ...เป็นกรุพระเครื่องที่มีมูลค่ามาก”

แม้จะไม่ใช่นักเลงพระ แต่ด้วยความเชื่อศรัทธาที่มีต่อคุณตาที่เป็นคนโบราณคนเก่าคนแก่ก็พอจะรู้ว่านี่คือสมบัติเก่าที่ถูกเก็บรักษาซ่อนไว้เป็นอย่างดี จึงค่อยๆนำออกมาดู ศึกษาอย่างช้าๆและระมัดระวังเพราะมีคนเตือนเสมอว่า “อย่าให้พระใครดู ถึงดูก็ต้องห้ามห่างสายตาแม้แต่วินาทีเดียว”

...

ราวเหมือนกับว่าชีวิตนี้ได้ถูกโชคชะตากำหนดไว้ให้เป็นผู้เก็บรักษาและดูแลสมบัติเหล่านี้ต่อจากบรรพชน ที่น่าฉงนสงสัยอย่างมากก็คือ...หลังจากได้สมบัติแล้วก็มีเรื่องดีๆ มีพระเครื่องดีๆเข้ามามากมาย โดยพระที่เข้ามาจะมาจากผู้ที่มีพระแล้วเอามาให้ดู หลายท่านบอกมีเยอะไม่อยากจะเก็บ ยกให้เก็บรักษาบูชา

สำหรับรายได้ทุกวันนี้อยู่กับการตัดผม สอนวิชาชีพเสริมสวย ก็พออยู่พอกินและเพียงพอที่จะทำให้ครอบครัวไม่เดือดร้อน อยู่กันสุขสบาย...“ผมมองพระเครื่องเป็นวัตถุที่ไม่สามารถย้อนกลับเวลาไปสร้างไปทำใหม่ได้อีก แต่ละยุคสมัยก็มีรอยจารึกประวัติที่ต่างกัน ส่วนในทางพุทธคุณเป็นวัตถุที่มีผลทางจิตใจ เป็นวัตถุของโลก ของจักรวาล มีพลังแห่งกำลังใจ”

“ศรัทธา” นำมาซึ่ง “ปาฏิหาริย์” เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ “ลบหลู่”.

รัก-ยม