นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาความลับของสมองที่สัมพันธ์กับความฉลาดของมนุษย์มายาวนาน จนได้พบว่า การติดต่อสื่อสารระหว่างสมองแต่ละส่วน หรือการเชื่อมโยงการทำงานของเซลล์ประสาทในสมองแต่ละส่วน (Brain Connection) สัมพันธ์กับกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา โดยมีหลายปัจจัยทั้งการเลี้ยงดู การเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม จนถึงโภชนาการเป็นส่วนประกอบสำคัญ โดยเฉพาะโภชนาการที่หมายถึงนมแม่ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ รวมถึงไขมันอย่าง ‘สฟิงโกไมอีลิน’ ที่มีส่วนในการสร้างไมอีลิน ซึ่งไมอีลินเปรียบเสมือนทางด่วนในการเชื่อมโยงของวงจรประสาท ส่งผลให้การติดต่อสื่อสารระหว่างสมองแต่ละส่วนเป็นไปอย่างรวดเร็วสัมพันธ์กับการรับรู้และความเฉลียวฉลาดนั่นเอง

ทำไมสมองต้องติดต่อสื่อสารระหว่างกัน (Brain Connection)

ผศ.นพ.วรสิทธิ์ ศิริพรพาณิชย์ กุมารแพทย์โรคระบบประสาท อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่าการเชื่อมโยงของสมองแต่ละส่วนเกิดขึ้นจากการที่สมองแต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกัน เช่น สมองส่วนที่เกี่ยวกับการวางแผน การจัดการ การพูด ก็อยู่ส่วนหนึ่ง การเข้าใจภาษาก็ส่วนหนึ่ง การเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและทิศทางก็อีกส่วนหนึ่ง เป็นต้น แต่การจะบรรลุเป้าหมายในแต่ละครั้งได้ สมองแต่ละส่วนเหล่านั้นก็ต้องทำหน้าที่สัมพันธ์กัน ด้วยเหตุนี้สมองจึงต้องมีการเชื่อมโยงกัน

“สิ่งที่ทำให้สมองมนุษย์แตกต่างกัน คือ ความแตกต่างของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา ซึ่งหมายถึงการพัฒนาทางด้านการรู้คิด ที่เริ่มตั้งแต่การรับรู้ ไปจนถึงการคิดที่ซับซ้อนขึ้น ในกระบวนการเหล่านี้เองที่สมองต้องทำงานสัมพันธ์กับสมองส่วนอื่นๆ ด้วยการติดต่อสื่อสารกัน (Brain Connection) โดยอาศัยวงจรประสาทภายในสมอง ที่เปรียบเหมือน ‘ถนน’ ซึ่งเชื่อมระหว่างเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ประสาท จนถึงสมองแต่ละส่วน ยิ่งติดต่อสื่อสารกันได้รวดเร็วก็ยิ่งบรรลุเป้าหมายเร็วขึ้น” ซึ่งการเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณของสมองต้องอาศัยการสร้าง ‘ไมอีลิน’ (Myelin) ที่พบมากในช่วง 2 ปีแรกหรือ 1,000 วันแรกของชีวิต และสัมพันธ์กับพัฒนาการของเด็กในช่วงวัยนี้ที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วย ทั้งนี้วัตถุดิบในการสร้างไมอีลิน จะเป็นสารอาหารกลุ่มไขมันมีความจำเพาะต่อไมอีลินโดยเฉพาะ เรียกว่า ‘สฟิงโกไมอีลิน’ (Sphingomyelin) นั่นเอง

การทำงานของสมองตรวจสอบได้จริง

แม้เมื่อเอ่ยถึงสมองจะหมายถึงความซับซ้อนมากมายเกินกว่าจะอธิบายและทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง แต่ในทางการแพทย์แล้ว ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีที่สูงขึ้นจนทำให้การตรวจสมองขั้นก้าวหน้าสามารถเกิดขึ้นจริงได้ และพัมนากันอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็ก หรือ เอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imagine, MRI) ขั้นก้าวหน้า (advanced MRI) ซึ่งเป็นการผสานความรู้ทางวิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันเอ็มอาร์ไอขั้นก้าวหน้านี้ถูกใช้งานร่วมกับการตรวจวินิจฉัยปกติที่ศูนย์รังสีวินิจฉัยก้าวหน้า หรือ ไอแมค (AIMC) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ดร.นพ.วิทยา สังขรัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชารังสีวิทยาและศูนย์รังสีวินิจฉัยก้าวหน้า (ไอแมค) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เราสามารถตรวจสมองได้มากกว่า 3 มิติ คือเป็น 4-5 มิติ ซึ่งช่วยทำให้ได้ทราบว่า แค่การทำงานง่ายๆสมองหลายๆส่วนทำงาน และทำงานประสานกัน (Functional Connectivity and Brain Network) ในทำนองเดียวกันก็สามารถตรวจสอบสมองเวลารับรู้ได้ด้วย นอกจากนี้เรายังสามารถตรวจโยงใยเครือข่ายใยสมอง (Structural Brain Networks) ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถตรวจวัดค่าความสมบูรณ์ของใยสมอง (Brain Fiber Integrity) รวมถึงการคำนวณสร้างรูปความน่าจะเป็นของโยงใยเครือข่ายใยสมอง” นอกจากนี้ ดร.นพ.วิทยา สังขรัตน์ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้แต่ไมอีลิน (Myelin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของใยสมอง ก็สามารถตรวจสร้างภาพวัดค่า ได้ด้วยเทคนิคใหม่ๆ ของเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็ก หรือ เอ็มอาร์ไอ ได้เช่นกัน นั่นแปลว่า การเชื่อมโยงเพื่อติดต่อสื่อสารกันของสมอง (Brain Connection) ที่นักวิจัยพยายามศึกษามายาวนานเพื่อค้นหาความลับของสมอง เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจริง และตรวจสอบได้ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงอย่างชัดเจน

ความฉลาดของลูกสร้างได้ใน 1,000 วันแรกของชีวิต

สมองยังมีความลับอีกมากมายที่น้อยคนนักจะได้ทราบความจริง อย่างในอดีตคนจำนวนหนึ่งมักเชื่อว่าสมองทารกจะเติบโตอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ในครรภ์มารดา หลายคนจึงพยายามเสริมสร้างพัฒนาการตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์เป็นหลัก แต่การศึกษาวิจัยพบว่า สมองของมนุษย์จะโตหลังจากคลอดมากกว่า โดยสมองของทารกจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า ในช่วง 3 ปีแรก ซึ่งจะสัมพันธ์กับโครงสร้างของสมองและพัฒนาการของลูกน้อยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในช่วงเวลาดังกล่าว เหตุนี้เองปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลให้สมองมีการพัฒนาที่ดีขึ้นในช่วงนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก ทั้งจากสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู การเรียนรู้ จนถึงโภชนาการ โดยเรื่องโภชนาการนั้นมีความสัมพันธ์กับการสร้างและเชื่อมโยงวงจรประสาทที่ส่งผลต่อความรวดเร็วในการสื่อสารกันของสมองส่วนต่างๆ (Brain Connection) ซึ่งนายแพทย์วรสิทธิ์กล่าวว่านั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนมแม่จึงเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เพราะนมแม่คือสิ่งที่ธรรมชาติเลือกมาให้ลูกของมนุษย์ เพราะการเชื่อมโยงวงจรประสาทของสมองแต่ละส่วนจะทำงานได้เร็ว เนื่องจากมีการสร้างไมอีลินซึ่งมี ‘สฟิงโกไมอีลีน’ เป็นหนึ่งในอาหารสำคัญในการสร้างไมอีลิน โดยสฟิงโกไมอีลินจะพบมากในนมแม่ และพบในผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ เช่น ครีม ชีส ฯลฯ ซึ่งตอบคำถามได้ว่าทำไมทารกจึงควรได้รับนมแม่อย่างเต็มที่ รายงานการวิจัยชิ้นหนึ่งยังแสดงให้เห็นว่า ทารกที่ได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือน จะมีปริมาณไมอีลินในสมองเพิ่มขึ้น และมีความสัมพันธ์กับผลการประเมินการเรียนรู้ที่ดีขึ้นอีกด้วย

ความฉลาดจึงสามารถสร้างได้ตั้งแต่ในครรภ์ผ่านการส่งเสริมพัฒนาการของสมองที่สามารถทำได้โดยการให้สารอาหารที่ครบถ้วน เนื่องจากการทำงานที่มีประสิทธิภาพของสมองต้องอาศัยการเชื่อมต่อสัญญาณประสาทที่มีความรวดเร็ว โดยมีกระบวนการสร้างไมอีลินเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทเหล่านั้น

ซึ่งไมอีลินสร้างได้จากสารอาหารหลากหลายชนิดที่พบในนมแม่ โดยเฉพาะสารอาหารกลุ่มไขมัน อย่างเช่น สฟิงโกไมอีลิน นั่นเอง

#สฟิงโกไมอีลิน