"โบฮีเมียน แรปโซดี" (Bohemian Rhapsody) ภาพยนตร์อัตชีวประวัติที่ทั่วทั้งโลกกำลังจับตามองในขณะนี้ เนื่องจากเพิ่งกวาดรางวัล "ออสการ์ 2019" ไปมากถึง 4 รางวัล ทำให้หลายคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เกิดคำถามว่า เพราะเอาไร...ภาพยนตร์ม้ามืดเรื่องนี้ถึงได้รางวัล?
วันนี้ ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ จะมาพูดถึงหนังเรื่องนี้ เนื่องจากวันแรกที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ หนังเรื่องนี้ถูกนักวิจารณ์หนังวิจารณ์กันอย่าง "ยับเยิน" ในแง่มุมของรายละเอียดเรื่องเพศและโรคเอดส์ แต่วันในนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับคว้ารางวัลไปได้ถึง 4 สาขา ได้แก่ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม, และมิกซ์เสียงยอดเยี่ยม ถือว่าเยอะที่สุดในปีนี้...
เราไปดูกันดีกว่าว่า อะไร? ทำให้ "Bohemian Rhapsody" กลายเป็นดาวเด่นใน "ออสการ์ 2019" เรามีคำตอบให้แล้ว....
Queen วงร็อกในตำนาน
เชื่อว่าสาวๆ หลายคนคงต้องเคยได้ยินเพลงดังอย่าง We Will Rock You, Another One Bite Of Dust, I Want To Break Free และ Bohemian Rhapsody มาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะเพลงดังเหล่าเป็นของวง "Queen" วงร็อกในตำนานของยุค 70s จนถึง 80s
...
สำหรับวงนี้มีสมาชิกด้วยกัน 4 คน ได้แก่ เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ (ร้องนำ), ไบรอัน เมย์ (กีตาร์), จอห์น ดีคอน (กีตาร์เบส) และโรเจอร์ เทย์เลอร์ (กลอง)
พวกเขาทั้ง 4 คนถือเป็นวงร็อกแรกๆ จากเกาะอังกฤษที่มีการเดินสายแสดงคอนเสิร์ตทั้งในทวีปเอเชียและอเมริกา จนมีชื่อเสียงโด่งดัง ผลงานเพลงทั้ง 18 อัลบั้มของพวกเขากลายเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์วงการเพลง ด้วยยอดขายถึง 300 ล้านแผ่นทั่วโลก
นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการริเริ่มดนตรีแนวสปีดเมทัล อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินชื่อดังอีกหลายคนในยุคนี้ อาทิ Foo Fighters, เลดี้ กาก้า, และเคที เพอรี
Bohemian Rhapsody น่าดูยังไง?
อย่างที่เราบอกไป นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังของวงร็อกในตำนาน ที่เล่าผ่านมุมมองของ "เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่" ผู้เป็นนักร้องนำ และเปรียบเหมือนมันสมองของวงที่คิดอะไรแปลกใหม่ไม่เหมือนใครอยู่เสมอ กล้าได้ กล้าเสีย จนนำไปสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ "วงควีน" ทั้งยังนำเสนอในมุมมองความรักความห่วงใยของ "เพื่อน" ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนคนในครอบครัว ถึงแม้จะมีทะเลาะกันบ้างแต่ก็ให้อภัยกันได้เสมอ
ในภาพยนตร์บอกเล่าตั้งแต่การพบกันของสมาชิกในวง รวมถึง "ความรักในชีวิต" ของเฟรดดี้ นั่นก็คือ "แมรี ออสติน" ผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของเขา ที่เป็นทั้งแฟน ภรรยา จนถึงวันที่เขาทั้ง 2 คนกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในวันที่ทั้ง 2 ต้องหย่า เมื่อเฟรดดี้รู้ตัวเองว่าตนมีความรักร่วมเพศ พร้อมกับทำผิดพลาดจนติดเชื้อ HIV
จุดพีคที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ฉากสุดท้ายที่จำลองมหกรรมคอนเสิร์ต Live Aid ในปี 1985 ถือได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำความสามารถและการไปถึงจุดสูงสุดในชีวิตศิลปินของวงควีน
...
สมควรแก่รางวัล
อย่างที่บอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คว้ารางวัลออสการ์ปี 2019 ไปได้ถึง 4 รางวัล ซึ่งถือว่าเยอะที่สุดในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม, และมิกซ์เสียงยอดเยี่ยม ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ จึงอยากจะพาคุณผู้อ่านวิเคราะห์แยกในแต่ละรางวัล ดังนี้
1. นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ไม่แปลกใจเลยที่รางวัลนี้ตกเป็นของ รามี มาเลค ผู้มารับบทเป็น เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ เนื่องจากการแสดงออก แววตา และท่าทางนั้นแทบจะเป็นโคลนนิ่งอีกร่างของเฟรดดี้จริงๆ ยิ่งถ้าคุณมีโอกาสได้ย้อนกลับไปดูคลิปเก่าๆ ของวง Queen จะเห็นได้ว่า รามีจับเอาทุกท่วงท่า สีหน้า แววตา รวมถึงจุดเล็กๆ อย่างนิสัยชอบเชิดหน้าของเฟรดดี้ ทำให้รามี มาเลคแจ้งเกิดบนจอเงินอย่างสมศักดิ์ศรีจริงๆ
...
2. ลำดับภาพยอดเยี่ยม
ต้องบอกก่อนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาว 134 นาที และใน 134 นาทีนี้เอง ไม่มีเนื้อหาตรงไหนที่เราจะละสายตาไปได้เลย เนื่องจากทุกภาพ ทุกฉาก มีใจความสำคัญของวงซ่อนอยู่ทั้งนั้น และทุกองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ดังกล่าว ถูกนำมาเรียงร้อยในฉากต่างๆ ให้มีความลื่นไหล ดูแล้วเข้าถึงอารมณ์
3. ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม และรางวัลมิกซ์เสียงยอดเยี่ยม
เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของหนังดราม่าชีวประวัติกับหนังเพลง การให้เสียงตลอดทั้งเรื่องทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะกับฉากสุดท้ายที่จำลองภาพคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์อย่าง "Live Aid" ในปี 1985 ที่เสียงของการแสดงสมจริงจนเหมือนกับคนดูย้อนอดีตเข้าไปยืนอยู่ในสนามกีฬาเวมบลีย์อย่างใดอย่างนั้น
...
รู้อย่างนี้แล้ว...อะไรคือเหตุผลที่คุณจะไม่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้กันล่ะ?
ขอบคุณภาพจาก: foxmovies