เมื่อไทยเรามีของดี ดังนั้นก็ต้องช่วยกันดัน โดยเฉพาะกับสมุนไพรไทย อย่าง “ชา” ด้วยแล้ว ยิ่งต้องสนับสนุนให้ไปไกลถึงระดับโลก หนึ่งในโครงการดีๆ ที่เกี่ยวข้องกับชา คือ โครงการส่งเสริมเกษตรกรในจังหวัดเชียงราย ที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ของบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จากการที่เห็นคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากรทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมอันมีค่าของเกษตรกรผู้ปลูกชาชาวอาข่า โครงการนี้จึงเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนเกษตรกรผู้ปลูกชาในพื้นที่ดอยพญาไพร อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

สำหรับโครงการชาคืนต้นปีนี้ เรามุ่งเน้นให้ความรู้ด้านเกษตรออร์แกนิก โดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่หาได้ในท้องที่มาผ่านกระบวนการเกษตรผสมผสาน ช่วยดูแลรักษาต้นชาให้เติบโตอย่างปลอดสารพิษ พร้อมสร้างองค์ความรู้ให้ชุมชนรู้จักการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ภายใต้ชื่อ “อาข่าคิด” ซึ่งการส่งมอบชาเขียวคุณภาพดีของชุมชนให้เดินทางสู่มือผู้บริโภค และเป็นอีกแรงผลักดันให้จังหวัดเชียงราย ก้าวไปสู่การเป็น “นครแห่งชา” ระดับโลก

...

นายตัน ภาสกรนที กล่าวว่า “ใบชาคือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจของอิชิตัน เราปฏิบัติต่อชุมชนชาวเขาเผ่าอาข่าบนดอยพญาไพร ในฐานะหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของอิชิตันเสมอมา เราจัดทำแผนระยะยาวในการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนให้ดีขึ้น และกำลังสร้างแรงบันดาลใจในการต่อยอดผลผลิต เพื่อให้เขาสามารถสร้างรายได้จากทรัพยากรที่มีอยู่ สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการใส่ไอเดีย ดีไซน์ แต่คงไว้ซึ่งความเป็นชนเผ่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เพื่อให้ชุมชนเรียนรู้แนวทางการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการทำเกษตรกรรมอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

ด้าน ดร. ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า “พื้นที่ดอยพญาไพร มีทรัพยากรธรรมชาติและสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนดอยสูง ทำให้อากาศและสภาพดินเหมาะสม ชาอาข่าจึงสามารถนำไปต่อยอดสร้างมูลค่าได้ ด้วยการพัฒนาให้เป็นแหล่งปลูกชาออร์แกนิก ปัจจุบันปริมาณความต้องการชาอินทรีย์ทั่วโลกนั้นเพิ่มสูงขึ้น แต่ผู้ผลิตชารายใหญ่ของโลกอย่างจีน และอินเดีย ยังไม่สามารถผลิตชาอินทรีย์ได้ตามปริมาณความต้องการ ดังนั้นการส่งเสริมการปลูกชาอย่างที่อิชิตันทำอยู่นี้ จึงเป็นแนวทางที่ถูกต้อง สิ่งสำคัญต่อไปคือการจับมือร่วมกันของกลุ่มของเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้จัดจำหน่ายให้เข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมชาในประเทศ สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่จะผลักดันให้จังหวัดเชียงรายเป็นนครแห่งชาและกาแฟระดับโลกภายในเวลา 5 ปี เพื่อดึงดูดทั้งผู้ดื่มชาและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ของชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต”

...

ขณะที่ ดร.เกริก มีมุ่งกิจ ปราชญ์เกษตร หนึ่งในวิทยากรที่มาให้ความรู้ด้านเกษตรผสมผสานเพื่อการปลอดสารพิษ กล่าวว่า “ชาวอาข่าถือเป็นชนเผ่าที่น่าอิจฉา เพราะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อยู่รอบตัว และอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ลักษณะทางภูมิศาสตร์เหมาะ การนำความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์เข้ามาประยุกต์ นอกจากช่วยประหยัดต้นทุนให้กับการปลูกชาในพื้นที่ได้ ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สอดคล้องกับความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกในปัจจุบัน กระบวนการที่ใช้ก็ล้วนนำมาจากทรัพยากรที่หาได้ในท้องถิ่นนำมาดัดแปลงเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ หรือการนำกิ่งไม้ที่ตกตามป่ามาเผา ให้เกิดน้ำส้มควันไม้เพื่อใช้ไล่แมลงศัตรูพืช จนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสารเคมีใดๆ


ส่วนนายธงชัย ลาชี เกษตรกรผู้ปลูกชาชาวอาข่า กล่าวว่า “ชุมชนได้รับความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเกษตรกรรมชาจากอิชิตันอย่างต่อเนื่อง เราได้รับความรู้ทั้งการเพิ่มปริมาณการผลิต การเพิ่มมูลค่า โดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชนเผ่า รวมไปถึงการรักษาคุณภาพวัตถุดิบให้ได้มาตรฐานสากลที่จะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจและตอบสนองความต้องการของตลาด เราทุกคนหวังว่า “ชาอาข่า” จะทำให้ผู้บริโภคได้ซึมซับวิถีชีวิต เรื่องราวจิตวิญญาณที่ผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน จนทำให้ชาอาข่ามอบประสบการณ์ที่พิเศษกว่าการดื่มชาเขียวทั่วไปให้คนไทยทุกคนร่วมภูมิใจกับพวกเรา”

...