ในช่วงหลังๆ นี้มีคนเข้ามารับคำปรึกษาเรื่องที่ทำงานกันมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่น Gen Y ที่รู้สึกว่าทั้งเจ้านายและเพื่อนร่วมงานจะหมั่นไส้ แต่พอถามว่าเราทำอะไรจึงทำให้คนอื่นหมั่นไส้ คำตอบที่ได้ส่วนใหญ่คือ ไม่รู้ ไม่ได้ทำอะไร อยู่ดีๆ เขาก็หมั่นไส้เรา บางคนก็มีเหตุผลที่ฟังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้คนอื่นหมั่นไส้ เช่น บางคนให้เหตุผลว่าเพราะเราสนิทกับหัวหน้างาน คนอื่นจึงหมั่นไส้
มีอยู่รายหนึ่ง เป็นผู้หญิงน่ารักคุยเก่ง ออกจากไฮเปอร์นิดๆ เป็นคนเรียนเก่ง เธอเล่าว่าเธอเป็นคนที่พูดเก่ง เข้ากับคนง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เจอกันใหม่ๆ จะเข้ากันได้เร็ว ผู้คนมักจะชอบฟังเธอพูด แต่เมื่อคบกันไปสักพัก เพื่อนฝูงก็เริ่มตีตัวออกห่าง จับกลุ่มนินทาเธอ และมักจะวางยาเธอเรื่องงานทำให้เธอเกิดปัญหาในการทำงานและทำให้เจ้านายไม่ชอบเธอ เธอบอกว่าวางตัวไม่ถูกกาลเทศะ ทำให้หัวหน้ามองไม่เห็นความสามารถ แต่ความจริงปัญหาที่เธอเข้ามาปรึกษาคือ หัวหน้างานบอกว่าเธอมักทำงานไม่เสร็จและอาจถูกย้ายแผนกหรือให้ออก เพราะผลงานไม่เป็นไปตามเป้า จะเห็นได้ว่าการมองโลกของเธอเป็นการมองและตีความจากความเข้าใจของตนเองแต่เพียงมุมเดียว และตลอดเวลาที่ครูเคทนั่งฟังเธอเล่าเรื่องราวต่างๆ เธอมักเล่าไม่จบแต่กระโดดไปเล่าเรื่องถัดไปเสมอ จนต้องคอยบอกให้เธอกลับมาเล่าเรื่องแรกให้จบเสียก่อน
ปัญหาของเธอที่เกิดขึ้นที่ทำงานปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อสอบถามประวัติการทำงานก็พบแพทเทิร์นของการเกิดปัญหาเหมือนๆ กัน คือ ตอนแรกๆ ทุกคนจะชอบคุยกับเธอเพราะเธอพูดเก่ง ต่อมาเมื่อเธอสนิทกับเจ้านายไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เพื่อนร่วมงานก็มักจะหมั่นไส้เธอ จับกลุ่มนินทาเธอ ฯลฯ ซึ่งก็เป็นอย่างนี้ในทุกบริษัทที่เธอเคยทำงานมา เมื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของเธอก็พบว่า เธอเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก ชอบทำงานที่ได้ใช้ความคิด เธอบอกว่าเธอสามารถคิดไปได้เรื่อยๆ ไม่เคยตัน แต่เจ้านายทุกคนมักจะบ่นว่าเธอทำงานไม่ค่อยเสร็จ และรู้สึกเหนื่อยเวลาพูดกับเธอ เวลาเธอทำงานโปรเจกต์ที่ต้องคิดริเริ่มสิ่งต่างๆ เธอจะคิดไปเรื่อยๆ พอลงมือทำก็คิดต่อไปอีก จึงทำให้ไม่เสร็จเสียที แต่งานที่เจ้านายสั่งชัดเจนว่าต้องทำอะไรอย่างไร เธอทำได้เสร็จไม่มีปัญหา
...
เมื่อปะติปะต่อพฤติกรรมที่เธอเล่ามา ทำให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่สมองคิดสร้างสรรค์ต่อยอดไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้งานไม่เสร็จ ส่วนการที่เธอรู้สึกว่าคนอื่นหมั่นไส้เธอนั้น เป็นการมองเหตุการณ์ต่างๆ และตีความจากตนเองเป็นศูนย์กลาง ในตอนแรกทุกคนชอบเธอเพราะเธอเป็นคนช่างพูดมีเรื่องเล่ามากมาย แต่ที่เพื่อนๆ ค่อยห่างออกไปก็เพราะเธอไม่ช่างฟังต่างหาก เอาแต่พูดข้างเดียว และที่สำคัญ การพูดของเธอเป็นลักษณะกระโดดไปมา ทำให้คนอื่นๆ จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก เมื่อวิเคราะห์การเลี้ยงดูในวัยเด็กพบว่าพ่อแม่มักให้เธอเล่นวาดรูประบายสีอยู่ที่บ้าน ไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้านกับเด็กคนอื่นๆ ที่โรงเรียนก็รีบไปรับไปส่ง ทำให้ไม่ค่อยได้เล่นกับเพื่อน จึงทำให้เธอขาดทักษะทางสังคม ประกอบกับเป็นคนคิดไวและไม่อยู่กับที่ ไม่เข้าใจความรู้สึกผู้อื่น จึงทำให้เธอเกิดความเครียดสะสมจนต้องไปพบแพทย์ด้วยอาการซึมเศร้า เวลาเครียดมากๆ เธอเคยทำร้ายตัวเอง และตะโกนด่าว่าคุณแม่ไม่รู้ตัว แต่พอได้สติเธอรู้สึกผิดและจะเข้าไปขอโทษคุณแม่
วิธีการแก้ไขปัญหาของเธอนี้ เธอต้องฝึกทักษะทางสังคม การเข้าใจตัวเองและผู้อื่น ฝึกทักษะการพูดคุยและการนำเสนออย่างเป็นลำดับขั้นตอน รวมทั้งการฝึกสมาธิให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำตรงหน้าด้วยการออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวซ้ำ เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นระยะทางยาวๆ และการนั่งสมาธิ เป็นต้น เจ้านายและเพื่อนร่วมงานควรเข้าใจ และมอบหมายงานที่เหมาะสมกับเธอ รวมทั้ง ช่วยเธอในเรื่องการสื่อสารพูดคุยให้จบที่ละเรื่อง
ปัจจุบันมีคนที่มีพฤติกรรมแตกต่างกันมากขึ้น อย่ามองว่าเขาผิดปกติเลยค่ะ เขาแค่แตกต่าง เขาเองก็มองเราแตกต่างเช่นกัน ดังนั้น การเรียนรู้ถึงความแตกต่างของมนุษย์จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันค่ะ
ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกมส์ panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels : Kate Inspirer ได้นะคะ