“มะเร็งเต้านม” เป็นมะเร็งชนิดที่พบมากที่สุดในผู้หญิงไทย จึงเป็นอีกโรคที่ผู้หญิงทุกคนควรหันมาให้ความใส่ใจและเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมกันตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจหามะเร็งเต้านมก็คือการตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรม

แมมโมแกรม คืออะไร?

“แมมโมแกรม” เป็นการเอกซเรย์เฉพาะเต้านมด้วยเครื่องเอกซเรย์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสามารถแสดงส่วนประกอบต่างๆ ของเต้านม ได้แก่ เนื้อเต้านม (ซึ่งประกอบไปด้วยท่อน้ำนมและต่อมน้ำนม) ไขมัน ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้รักแร้บางส่วน และบางส่วนของกล้ามเนื้อทรวงอกที่รองรับเต้านม โดยมีจุดประสงค์เพื่อตรวจหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรกตั้งแต่ยังไม่ปรากฏอาการ ซึ่งหินปูนเล็กๆ บางชนิดก็เป็นสิ่งตรวจพบรูปแบบหนึ่งของมะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรก โดยหินปูนเหล่านี้จะสามารถตรวจพบได้จากแมมโมแกรมเท่านั้น นอกจากนี้แมมโมแกรมยังสามารถช่วยตรวจหาความผิดปกติอื่นๆ ในเต้านมรวมทั้งช่วยให้การวินิจฉัยแยกโรคของความผิดปกติต่างๆ เหล่านั้นอีกด้วย

...


ช่วงอายุที่เหมาะสมในการตรวจ

1. ผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านมในครอบครัว โดยเฉพาะญาติสายตรง ควรเริ่มได้รับการทำแมมโมแกรมตั้งแต่ก่อนอายุที่ญาติสายตรงคนนั้นเริ่มเป็นมะเร็งเต้านม 5 ปี

2. ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการทำแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี

ทั้งนี้หินปูนในเต้านมที่ตรวจพบจากแมมโมแกรมก็มีหลายลักษณะ ซึ่งหินปูนแต่ละลักษณะก็เกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันไป เรามารู้กันก่อนดีกว่าว่าหินปูนในเต้านมนั้นมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง

- เกิดจากภาวะปกติในผู้สูงอายุ หินปูนพวกนี้มักจะเกาะอยู่ในผนังหลอดเลือด
- หินปูนที่เกิดจากการบาดเจ็บของเนื้อเต้านมอย่างแรง
- หินปูนที่เกิดจากสารคัดหลั่งต่างๆ ที่อยู่ในท่อหรือต่อมน้ำนม
- เซลล์บางตำแหน่งในก้อนเนื้องอกบางชนิดในเต้านมมีความเสื่อมไป

การแปลผลภาพรังสี แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ หินปูนชนิดที่ไม่อันตราย และหินปูนชนิดที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม


@ หินปูนชนิดที่ไม่อันตราย มีด้วยกันหลายแบบ เช่น

- หินปูนที่มีขนาดใหญ่ โดยมากหินปูนพวกนี้มักเกิดจากความเสื่อมของเซลล์ที่อยู่ภายในก้อนเนื้องอกชนิดหนึ่ง

- หินปูนที่มีลักษณะเป็นกลมๆ ขอบขาวๆ คล้ายเปลือกไข่ หินปูนพวกนี้เกิดจากการขาดเลือดของไขมันในเต้านม โดยเกิดจากการกระแทกโดยตรงที่เนื้อเต้านมอย่างแรง

- หินปูนที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด มักพบในคนไข้สูงอายุที่มีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน

- หินปูนที่อยู่ตามผิวหนัง มีลักษณะกลมๆ ใหญ่ๆ เห็นขอบเขตชัดเจน

- หินปูนที่มีลักษณะเป็นหลอดๆ รูปร่างคล้ายกระสวย หินปูนเหล่านี้มักเกิดจากสารคัดหลั่งในท่อน้ำนม


@ หินปูนชนิดที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม จะพิจารณาจาก 2 ลักษณะ ได้แก่ รูปร่างของหินปูน และการกระจายตัวของหินปูน

ลักษณะของหินปูน

- หินปูนเม็ดเล็กๆ ฝอยๆ ที่มีขอบเขตชัดเจน ในกรณีนี้ต้องพิจารณาร่วมกับการกระจายตัวของหินปูนเหล่านั้นด้วยว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน

- หินปูนเม็ดเล็กๆ ฝอยๆ ที่มีขอบเขตไม่ชัดเจน เหมือนผงแป้ง

- หินปูนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาจาก 2 แบบแรกที่กล่าวมาและมีความเข้มมากกว่า แต่ขนาดก็ดูไม่ค่อยสม่ำเสมอกัน

- หินปูนที่มีลักษณะทั้งความเข้มและขนาดไม่สม่ำเสมอกันเลย

- หินปูนที่มีลักษณะเป็นขีดเส้นตรงเล็กๆ สั้นๆ หินปูนประเภทนี้มักจะอยู่ตามเยื่อบุผนังท่อน้ำนม ถ้าพบเจอจะต้องให้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะหินปูนเหล่านี้อาจเป็นลักษณะของมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้นได้

การกระจายตัวของหินปูน

- หินปูนกระจายสม่ำเสมอทั่วเต้านม แม้ว่าจะเป็นหินปูนเม็ดเล็กๆก็ตาม หากมีการกระจายแบบนี้นั้น มักพบว่าหินปูนพวกนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมไม่มากนัก

- หินปูนที่กระจายตัวอยู่เฉพาะบางส่วนของเต้านมเป็นหย่อมกว้าง หินปูนพวกนี้ก็มีความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมไม่มากนัก แต่ก็มากกว่าแบบแรกที่กระจายสม่ำเสมอทั่วๆ เต้านม

- หินปูนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เส้นผ่านศูนย์กลางของกลุ่มหินปูนไม่เกิน 2 เซนติเมตร ก็มีความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมมากยิ่งขึ้น

- หินปูนมีลักษณะเรียงตัวกันเป็นเส้นตรงตามแนวท่อน้ำนม หรือเป็นเส้นแบบกิ่งไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขา ลักษณะหินปูนเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมสูงมาก โดยหากพบเจอเข้าแพทย์มักจะต้องทำการเจาะพิสูจน์ชิ้นเนื้อเพื่อให้การวินิจฉัยทางพยาธิโดยเร็ว

...

ตรวจพบหินปูนในเต้านมแล้ว ทำอย่างไรดี

ถ้าในกรณีที่ตรวจพบหินปูนชนิดที่ไม่อันตราย ก็ไม่ต้องกังวลอะไร เพียงแค่ตรวจติดตามแมมโมแกรมเพียงปีละครั้งก็เพียงพอ

ส่วนในคนไข้ที่พบหินปูนชนิดที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม ก็จะมีแนวทางปฏิบัติอยู่ 2 ทางเลือก คือ 1) ตรวจติดตามแมมโมแกรมทุกๆ 6 เดือน หรือ 2) ทำการเจาะชิ้นเนื้อเพื่อการวินิจฉัย โดยพิจารณาตามความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม

ถ้าหากรังสีแพทย์ที่แปลผลแมมโมแกรมให้ความเห็นว่าโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมของหินปูนดังกล่าวน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2% ก็จะเลือกเป็นวิธีตรวจติดตามแมมโมแกรมทุกๆ 6 เดือน หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลงภายในระยะเวลา 2 ปี ก็สามารถติดตามแมมโมแกรมห่างขึ้นเป็นปีละหนึ่งครั้งได้ แต่หากรังสีแพทย์ให้ความเห็นว่าโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมมากกว่า 2% ก็จะเลือกเป็นวิธีเจาะชิ้นเนื้อแทน ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องพิจารณาปัจจัยประกอบอื่นๆร่วมด้วย เพื่อจะได้ตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับคนไข้แต่ละราย

...

ขั้นตอนการเจาะชิ้นเนื้อมาตรวจ

การเจาะชิ้นเนื้อเพื่อเอาหินปูนที่เต้านมมาให้การวินิจฉัยทางพยาธิวิทยานั้น ทำโดยใช้เครื่องมือทางรังสีวิทยาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Stereotactic unit ซึ่งเครื่องนี้เป็นเครื่องที่เอาไว้เจาะหินปูนที่เต้านมโดยเฉพาะ ขั้นตอนในการเจาะชิ้นเนื้อ จะเริ่มจากการถ่ายภาพทางรังสีวิทยาของเต้านม เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณหาพิกัดตำแหน่งของหินปูนเหล่านั้น หลังจากนั้นเครื่องก็จะนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์บอกตำแหน่งในการวางเข็มที่ผิวหนัง เพื่อที่รังสีแพทย์จะได้เข้าไปเก็บชิ้นเนื้อที่มีหินปูนดังกล่าวออกมาส่งตรวจเพื่อให้การวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาต่อไปว่าหินปูนเหล่านั้นเป็นมะเร็งหรือไม่ อย่างไร

ข้อสรุปทิ้งท้าย

การตรวจพบหินปูนที่เต้านมจากแมมโมแกรม ไม่ใช่เรื่องที่อันตรายในทุกกรณีไป เพราะใช่ว่าหินปูนที่พบเหล่านั้นจะเป็นหินปูนที่นำไปสู่การเป็นมะเร็งเต้านมทั้งหมด การตรวจคัดกรองด้วยเครื่องแมมโมแกรมจึงเป็นวิธีการตรวจที่ให้ประโยขน์มากในแง่การตรวจหาหินปูนชนิดที่เป็นระยะแรกของมะเร็งเต้านม เพราะถ้าหากเราสามารถพบความผิดปกติดังกล่าวได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะนำมาสู่การรักษาที่ให้ผลดีต่อคนไข้มากที่สุด

------------------------------------------------------------

แหล่งข้อมูล

พญ. วศิญาภาณิ์ พัฒนจารีต รังสีแพทย์ อนุสาขาภาพรังสีวินิจฉัยเต้านมชั้นสูงและรังสีร่วมรักษาของเต้านม ศูนย์รังสีวิทยา อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

...