เชื่อว่าแทบทุกคนต้องมีอาการปวดศีรษะกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งอาการปวดศีรษะนั้นก็มีด้วยกันมากมายหลายแบบ แล้วอาการปวดศีรษะแบบไหนล่ะที่ต้องรีบไปพบแพทย์ คอลัมน์ “ศุกร์สุขภาพ” สัปดาห์นี้มีคำตอบ

ก่อนที่จะไปถึงอาการปวดศีรษะ เรามาทำความรู้จักโครงสร้างของศีรษะกันก่อน ซึ่งบริเวณที่สร้างความเจ็บปวดให้คนเราได้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ

• โครงสร้างภายในสมอง ได้แก่ เยื่อหุ้มสมอง หลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง และเส้นประสาทสมอง
• โครงสร้างภายนอกสมอง เป็นอวัยวะข้างเคียงบริเวณศีรษะและสมอง ที่ทำให้มีอาการปวดศีรษะได้ เช่น
ผิวหนัง ถ้ามีอาการอักเสบบริเวณหน้าหรือลำคอ ก็อาจจะทำให้เข้าใจว่าปวดศีรษะได้ กล้ามเนื้อตึงตัวบริเวณสะบัก ไหล่ ไซนัสอักเสบ ฟัน หรือหู ก็อาจทำให้ปวดศีรษะได้เช่นกัน

...

ประเภทของการปวดศีรษะ มี 2 ประเภท คือ

@ การปวดศีรษะแบบไม่มีรอยโรค หรือปวดบริเวณดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น หรือเรียกว่าการปวดศีรษะแบบปฐมภูมิ

อาการ

• ปวดศีรษะแบบเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ในช่วงที่หาย ก็จะเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป
• แม้ว่าจะปวดศีรษะมาเป็นเวลานานหรือเรื้อรัง แต่อาการปวดศีรษะคงที่ ไม่มีอาการรุนแรงเพิ่มเติม
• ไม่มีอาการอื่นๆ ที่เข้าได้กับอาการปวดศีรษะที่มีรอยโรคในสมอง
• การตรวจร่างกายทางระบบประสาทไม่มีความผิดปกติอะไร

ตัวอย่างโรคของการปวดศีรษะแบบปฐมภูมิที่พบบ่อย คือ ปวดไมเกรน คนไข้จะมาด้วยอาการปวดศีรษะตุ้บๆ ปวดเป็นข้างๆ บางคนปวดข้างซ้าย บางคนปวดข้างขวา และมีอาการนำก่อนปวดหัว เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เห็นแสงวิบวับ ได้กลิ่นอะไรที่ผิดปกติ

อาการปวดศีรษะจากการเกร็งกล้ามเนื้อ ซึ่งส่วนมากมักเป็นอาการของออฟฟิศซินโดรม ที่มีการเกร็งของกล้ามเนื้อที่ได้รับการกระตุ้นจากความเครียด หรือการอดนอน

@ การปวดศีรษะแบบมีรอยโรคหรือบริเวณข้างเคียง หรือการปวดศีรษะแบบทุติยภูมิ



สัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ

• มีประวัติอุบัติเหตุบริเวณศีรษะหรือคอ
• คนที่ไม่เคยมีอาการปวดศีรษะมาก่อนเลยแล้วมีอาการปวดศีรษะครั้งแรกแบบรุนแรง เกิดขึ้นทันที โดยเฉพาะคนไข้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
• อาการปวดศีรษะมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และปวดบ่อยขึ้นๆ
• การปวดศีรษะกระตุ้นโดยการไอ จาม หรือเบ่ง
• มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น แขนขาอ่อนแรง ชัก มีไข้ คอแข็ง กดเจ็บบริเวณหลอดเลือด
• ผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะร่วมกับมีอาการเสี่ยงอื่นๆ เช่น คนไข้โรคมะเร็ง คนไข้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV) คนไข้ที่ได้รับยากดภูมิ

ตัวอย่างโรคปวดศีรษะแบบทุติยภูมิที่พบได้บ่อย คือ

• อาการปวดศีรษะจากอวัยวะภายนอก เช่น
• ไซนัสอักเสบ ซึ่งอาจจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ มีน้ำมูก เคาะเจ็บบริเวณใบหน้า
• อาการปวดฟัน แต่คนไข้คิดว่าเป็นอาการปวดศีรษะ
• ติดเชื้อในหูชั้นกลาง โดยอาจจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หูอื้อ มีน้ำในหู ร่วมกับอาการปวดศีรษะ
• พยาธิสภาพภายในสมอง เช่น หลอดเลือดแดงฉีกขาด หลอดเลือดแดงโป่งพอง หรือว่ามีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ โรคของหลอดเลือดพวกนี้จะทำให้มีอาการปวดศีรษะได้ แต่อาจจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อ่อนแรง ชัก มือเท้าชา
• เนื้องอกในสมอง ซึ่งจะต้องมีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หรือมีประวัติเคยเป็นโรคมะเร็ง

...

การวินิจฉัยโรค

แพทย์จะทำการซักประวัติคนไข้โดยละเอียดถึงลักษณะการปวดศีรษะว่าปวดอย่างไร และดูประวัติทางการแพทย์เดิมประกอบว่าคนไข้มีโรคประจำตัวหรือรับประทานยาอะไรเป็นประจำหรือเปล่า

จากนั้นจะมีการตรวจร่างกายทั่วไป ร่วมกับการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียด ซึ่งจากการตรวจ 2 อย่างนี้ จะสามารถวินิจฉัยได้ว่าคนไข้ปวดศีรษะจากอะไร

นอกจากนี้จะมีการพิจารณาห้องปฏิบัติการอื่นๆ เพิ่มเติม ตามดุลยพินิจของแพทย์ว่าจะต้องมีการตรวจอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ในการวินิจฉัยโรค เช่น เจาะเลือด การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณศีรษะ (CT Scan) การตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การเจาะน้ำไขสันหลัง เป็นต้น

การรักษา

การรักษาอาการปวดศีรษะจะเป็นการรักษาตามสาเหตุเป็นหลัก

การดูแลตนเองและการป้องกัน

• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากการอดนอนจะกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้
• ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว รับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ให้เพียงพอในแต่ละวัน เพราะการอดอาหารสามารถกระตุ้นให้มีอาการปวดศีรษะได้เช่นกัน
• หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้มีอาการปวดศีรษะ เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
• การที่มีภาวะเครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไป

ได้รู้จักกับอาการปวดศีรษะแบบต่างๆ กันแล้ว หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการปวดศีรษะร่วมกับอาการชัก เกร็ง แขนขาอ่อนแรง มือเท้าชา ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อหาทางวินิจฉัยและรักษาโดยด่วน

...

--------------------------------------------------


แหล่งข้อมูล

พญ. รับขวัญ ภัทรานนท์อุทัย สาขาประสาทวิทยา ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ 
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล