เห็นเพื่อนสองคนที่ไม่ค่อยได้เจอกันมานานเดินสวนกัน บังเอิญคนหนึ่งจำอีกคนได้แบบคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นคนรู้จัก แม้รูปร่าง-หน้าตาจะเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเห็นกันสมัยยังอยู่ในวัยเรียน แต่พอคนหนึ่งรวบรวมความกล้าในการเข้าไปทัก อีกคนก็หันมาเซย์ไฮด้วยเป็นอย่างดี แสดงว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อนจริงๆ ในเมื่อเจอกันทั้งทีก็ต้องมีการสนทนาประสาคนที่คิดถึงกัน เสียหน่อย

เพื่อนที่เจอกันทั้ง 2 คนนี้เป็นชายหนึ่ง-หญิงหนึ่ง เริ่มต้นสนทนาก็ต้องมีการถามทุกข์สุขกันพอเป็นพิธี หลังจากนั้นก็เข้าเรื่องส่วนตัวได้ โดยเพื่อนผู้หญิงถามฝ่ายชายว่า เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวว่าแต่งงานแล้วใช่ไหม? คงมีความสุขสินะและมีลูกกี่คนแล้วล่ะ? เพื่อนผู้ชายก็ตอบว่า วันนี้ก็มากับลูกครับ แต่ภรรยาไม่ได้มาด้วย ตอนนี้มีเมีย 1 ลูก 2 แต่อย่าพูดให้ลูกผมได้ยินละว่า มีเมีย 2 ลูก 1 เดี๋ยวมันเอาไปฟ้องแม่แล้วผมจะซวยเอานะครับ อิอิ แหม ยังอุตส่าห์มีอารมณ์ขัน ซึ่งดูจากภายนอกของเพื่อนผู้ชายคนนี้ก็ดูท่าทางจะเป็นคนพูดเก่ง และนิสัยน่ารักดี

พอเพื่อนผู้ชายเป็นฝ่ายตอบไปแล้ว ก็ถึงคราวที่เพื่อนผู้หญิงจะเป็นฝ่ายถูกถามบ้าง ผู้ชายถามว่า ตอนนี้เธอล่ะเป็นอย่างไรบ้าง? ยังเป็นแฟนกับธนกรณ์ (เพื่อนอีกคนในรุ่นเดียวกัน) หรือเปล่า?

ฝ่ายหญิงเล่าว่า ไม่แล้ว “เราเลิกกันตั้งแต่เรียนจบมาได้ 3 ปีแล้ว คือเราเข้ากันไม่ได้น่ะ” นางก็คุยต่อไปว่า ฉันมีแฟนใหม่แล้วจ้าตอนนี้ เผอิญเค้าเดินไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เกต ความจริงก็อยากแนะนำให้รู้จักนะ คือเค้าไม่หล่อแต่น่ารัก มักจะกระตือรือร้นช่วยเหลือเราตลอด

ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่า เค้าอยากสานสัมพันธ์ด้วยการเข้ามาจีบ แต่ระยะหลังๆ เค้าชอบเข้ามาคุยกับเราบ่อยๆ จึงคิดว่าน่าจะใช่ พอถามเค้าไปตรงๆ เค้าก็บอกว่า ใช่ครับ! ตั้งแต่นั้นเราทั้งคู่ก็เลยดูใจกันและคบกันมา 2 ปีแล้ว ฝ่ายเพื่อนผู้ชายที่คุยด้วยก็แสดงความยินดีโดยบอกว่า ดีใจด้วยนะ

...

ฝ่ายหญิงพูดต่อว่า สิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่าเค้าเหมาะกับฉันก็ตรงที่เค้าไม่เคยบอกให้ฉันต้องเปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ หรือ เปลี่ยนการกระทำใดๆจากคนเดิมไปเป็นคนใหม่ตามที่เค้าต้องการเลย ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันได้

เพื่อนผู้หญิงคนนี้ ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญในการอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดีของหนุ่มสาว ต่อไปว่า เพราะแต่ละคนไม่ต้องการที่จะถูกแฟนสั่งให้เปลี่ยนนิสัยหรือเปลี่ยนพฤติกรรมไปเป็นอย่างโน้น, ไปเป็นอย่างนี้ ตามที่อีกคนต้องการ

แต่ถ้าอีกฝ่ายอยากเปลี่ยนเองอันนี้ก็เป็นเรื่องของความสมัครใจเพราะประสงค์อยากเป็นคนในแบบที่แฟนชอบนั่นเอง ถึงได้ต้องการเปลี่ยนบางอย่าง เช่น จากเคยสูบบุหรี่มาเป็นเลิกสูบดีกว่า, จากเคยเป็นคนงอนเก่ง เปลี่ยนมางอนน้อยลง เพราะเห็นว่า พองอนกันทีไร เค้าก็ไม่มีเวลามาตามง้อหรอก งั้นหายดีกว่า, หรือเคยเป็นคนชอบเที่ยวกลางค่ำกลางคืน แต่พอมีแฟนแล้ว แฟนกลับไม่ได้ชอบเที่ยวด้วยเพราะชอบอยู่บ้าน ก็เลยเปลี่ยนมาอยู่บ้านตามแฟนบ้าง แถมมีเวลาได้พูดคุยกันมากขึ้นด้วย เป็นต้น

งั้นเรามาดูกันต่อดีกว่าว่า มีสิ่งใดอีกที่แฟนของคุณไม่ควรขอให้คุณทำถ้ารักกันจริง ซึ่งหากนอกเหนือจากการไม่ขอให้คุณเปลี่ยนไปอย่างที่แฟนต้องการแล้ว “แฟนที่ดี” ก็ไม่ควรยุ่งหรือเข้ามาเรียกร้องในสิ่งเหล่านี้อีก เช่น... 1.แฟนที่ดีไม่ควรเรียกร้องให้คุณใช้เวลากับเพื่อนหรือญาติของครอบครัวเดิมน้อยลงไปกว่าเดิมน่ะเซ่

บางคนหวงแฟนไง จึงไม่ชอบให้ไปพูดคุยหรือใช้เวลากับเพื่อนๆหรือญาติมากเกินไป ไม่ว่าจะไปเป็นเพื่อนช่วยหาซื้อของด้วยกัน, ไปเป็นเพื่อนเดินตลาดนัดหรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะหวงไปทำไมเนอะ เพราะฉะนั้น ถ้าแฟนใครหวงเห็นทีต้องพูดคุยกันละว่า เป็นเพราะอะไร? โดยทำทีเป็นปรึกษากันก็ดี ขืนพูดตรงๆอาจทำให้เค้าไม่พอใจเอาก็ได้ ทว่าขอบอกหน่อยเหอะว่า แฟนที่ดีจะไม่หวงแบบไม่เข้าท่านะ

2.แฟนที่ดีจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย

ยกเว้นนำเรื่องการทำงานมาพูดคุยกัน อันนี้ทำได้ และคู่เลิฟหลายคู่ก็ปรึกษาหารือกันเรื่องงาน บางคู่คุยบ่อย บางคู่ก็ไม่ค่อย แต่ส่วนใหญ่มักพูดเรื่องหน้าที่การงานให้ฟังเพราะอยากหาที่ระบายไรงี้

ทีนี้ถ้าแค่พูดถึงเรื่องหน้าที่การงานให้ฟังคงไม่เป็นไร แต่ถ้าแฟนมาบังคับให้คุณต้องเปลี่ยนงาน ด้วยการอ้างเหตุผลทั้งหลายแหล่มาเพื่อชักจูงคุณให้เปลี่ยนไปเชื่อตามเค้าให้ได้ละก็

บอกได้เลยว่า แฟนกำลังเข้ามาก้าวก่ายชีวิตของคุณมากเกินไปแล้ว ถึงขนาดยื่นคำขาดให้คุณเปลี่ยนงานไปเพื่อ? เค้าจะได้สบายใจงั้นหรือ? ก็แล้วแต่คุณจะเชื่อเค้าไหม? ถ้าคุณโอเคกับงานที่ทำทุกวันนี้แล้ว แฟนมักไม่ค่อยบอกให้อีกฝ่ายเปลี่ยนงานหรอกนะ ถ้ารู้ทั้งรู้ว่าคุณรักงานที่คุณทำ แต่หากจำเป็นต้องเปลี่ยนเพราะมีปัจจัยอื่นเข้ามา (เช่นมีลูก) ก็ว่ากันไป

3.แฟนที่ดีจะไม่บอกให้คุณเลิกทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อเค้า

เช่น แฟนที่ดีจะไม่บอกให้คุณเลิกทำงานอดิเรก สมมติให้งดปั่นจักรยานเพื่อที่จะสละจักรยานคันเดียวกันนี้ให้เค้ามาปั่นซะเอง แบบนี้ก็เกินไปย่ะ.


@@@@
เมอร์ลิน