มีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ไทยเรื่อง 7 days (7 วัน) เรารักกันจันทร์-อาทิตย์ ซึ่งมีนักแสดงหญิงอย่าง มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน แสดงกับ กันต์ กันตถาวร และอนันดา เอเวอริงแฮม รวมทั้งนักแสดงคนอื่นๆ
แน่นอนว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นดราม่า-รัก-โรแมนติก ระหว่าง มิวรับบทเป็น “มีน” (มีนนะไม่ใช่มึน) เคยไปร่ำเรียนการทำอาหารถึงประเทศฝรั่งเศส เพราะมีความฝันอยากเป็นเชฟฝีมือดี แต่พอเธอลองทำอาหารแล้ว กลับได้รับคำวิจารณ์ว่า อาหารของเธอยังธรรมดาเกินไป ถึงจะอร่อยแต่ก็ขาดเสน่ห์ เพราะเธอทำอาหารตามสูตรเป๊ะๆ เมื่อโดนวิจารณ์เล่นเอามีนหมดทั้งความมั่นใจและกำลังใจที่จะเป็นเชฟไปเลย และหันมาเป็นนักวิจารณ์อาหารแทน จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
อยู่มาวันนึงมีนได้ไปชิมอาหารรสชาติของ เชฟแทน (กันต์ กันตถาวร) และสามารถแยกแยะสูตรอาหารของเชฟแทนได้อย่างแม่นยำ ทำให้เชฟแทนทึ่งในความสามารถของฝ่ายหญิง เพราะการจำแนกแยกแยะสูตรอาหารของเชฟแทนนั้นไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
เหตุนี้เชฟแทนจึงติดตาต้องใจสาวมีนถึงขนาดจีบมีนเป็นแฟนซะเลย
วันหนึ่งเชฟแทนพามีนมาที่ร้านอาหารของ เชฟก้อง (อนันดา เอเวอริงแฮม) โดยเชฟแทนหวังให้มีนมาสมัครทำงานกับเชฟก้อง ซึ่งจริงๆเชฟแทนก็หวังดีกับมีนนั่นแหละ เพราะอยากให้มีนได้เป็นเชฟตามที่ตัวเองใฝ่ฝันไว้ แต่ขณะที่มีนคัดค้านแฟนหนุ่มว่า เธอไม่สามารถทำอาหารในร้านของเชฟก้องได้หรอก
...
เชฟแทนก็เผลอพูดว่า มีคนติดต่อให้เค้าไปทำงานที่ร้านอาหารในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อหวังจะคว้าดาวมิชลินให้ได้ แถมเชฟแทนยังได้เซย์เยส ตอบรับที่จะไปทำงานที่นั่นแล้วด้วย โดยไม่ได้ปรึกษามีนก่อน พอฝ่ายหญิง (มีน) รู้เรื่องนี้เข้า ทั้งสอง (เชฟแทนและมีน) จึงทะเลาะกันอย่างรุนแรง เพราะมีนผิดหวังที่แฟนหนุ่มตัดสินใจอะไรลงไปโดยไม่ยอมปรึกษาเธอสักนิด อีกอย่างมีนยังต้องการให้เชฟแทนขอเธอแต่งงานด้วย เนื่องจากคบกันมานานแล้ว แต่ในเมื่อทั้งสองทะเลาะกันอย่างนี้จึงผิดหวังกันทั้งคู่
วันรุ่งขึ้นก็เกิดปาฏิหาริย์ (เชื่อไหมว่ามีจริง?) เมื่อเชฟแทนได้ตื่นขึ้นมาในร่างของคนอื่น ซึ่งวันแรกเค้าตื่นขึ้นมาในร่างของชายหนุ่มร่างอ้วนที่มีโทรศัพท์มือถือของเชฟแทนอยู่ในมือ ตอนแรกเชฟแทนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร กระทั่งวันเวลาผ่านไป จนเค้าเข้าไปอยู่ในร่างหญิงสาว ที่เป็นเพื่อนสนิทของมีน ตอนนั้นเชฟแทนได้บอกความจริงถึงเรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นให้มีนฟัง กระทั่งมีนรับรู้
ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า แทนต้องไปใช้ร่างของคนอื่นโดยแต่ละวันก็จะเปลี่ยนคนที่เค้าเข้าไปสิงอยู่ในร่างไปเรื่อยๆ ว่าแล้วเหตุการณ์เช่นนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แล้วมันจะเกิดแบบนี้เรื่อยๆไปทุกวันไหม? หนังไม่ได้จบแค่นี้นะ แต่ไม่อยากเล่าให้ฟังหมดเดี๋ยวไม่สนุก
ในทัศนะของผู้ชมละกัน คิดว่าเนื้อหามันก็ดีอยู่หรอก สามารถสะท้อนความคิดของผู้ชายและผู้หญิงที่แตกต่างกันออกมาให้เห็นและชวนนำไปคิดเป็นการบ้านได้เลย เช่น การที่เชฟแทนคบเป็นแฟนกับมีนมานานถึง 5 ปีแล้ว แต่ฝ่ายชายไม่มีท่าทีอยากขอฝ่ายหญิงแต่งงาน ทำไมล่ะ? นี่ก็เป็นประเด็นที่หนุ่ม-สาวมีความคิดเห็นกันคนละมุมแล้ว
คิดดูนะว่าผู้หญิงนี่ หากมีแฟน ถึงอย่างไรก็อยากคบกันจนไปถึงวันที่ถูกฝ่ายชายขอเข้าพิธีวิวาห์ด้วย ซึ่งถือเป็นการให้เกียรติครอบครัวของฝ่ายหญิง และแน่ละต้องไม่ใช่ “วิวาห์เหาะ” นะ เนื่องจากไม่มีสาวสติดีที่ไหนอยากหนีตามผู้ชายไปชนิดที่เรียกว่า วิวาห์เหาะนั่นเอง
ในขณะที่ชายบางคน แม้จะพบรักและคบหากับผู้หญิงที่เค้าอยากใช้ชีวิตด้วย แต่ผู้ชายมักจะยึกยักไม่ยอมสละโสดเร็วนัก เห็นไหมว่าในภาพยนตร์ที่เล่าให้ฟัง มีนกับเชฟแทนคบกันมาตั้ง 5 ปี แต่เชฟแทนก็ไม่เห็นว่าการที่จะมาสู่ขอมีนแต่งงานกับเขานั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน หรือคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอันดับแรกของชีวิต ตรงข้ามเค้ากลับคิดถึงการไข่วคว้าหาความสำเร็จ เพื่อให้ได้ครองดาวมิชลินเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดต่างหาก
หากสาวรายใดมีแฟนเป็นชายที่หวงแหนความโสดและไม่รีบร้อนอย่างนี้เห็นทีคงแย่หน่อย
งั้นเอางี้ไหมล่ะสาวๆ หากคุณทั้งหลายอยากให้แฟนหันมาใส่ใจกับการขอคุณแต่งงานละก็ เราพอมีวิธีมาบอกเล่าให้กันฟังได้ เช่น 1.ฝ่ายหญิงควรย้ำให้ผู้ชายฟังบ่อยๆว่า พวกเราคบกันมานานกี่เดือนหรือกี่ปีแล้ว ต่อไปก็ปรึกษากันว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเราสมควรที่จะสละโสด โดยฝ่ายชายควรให้เกียรติขอฝ่ายหญิงแต่งงานได้แล้วไหม? เรื่องอย่างนี้ทั้งสองฝ่ายควรเปิดใจถามไถ่กัน
...
บางทีถ้าฝ่ายชายเป็นสุภาพบุรุษเค้าคิดไตร่ตรองก็ได้ว่า ควรทำบางอย่างให้ฝ่ายหญิงดีใจได้แล้ว
2.ผู้หญิงบางทีก็ต้องใจแข็งยื่นคำขาดให้ฝ่ายชายไปเลย โดยบอกเค้าไปว่า คุณจะแต่งงานกับฉันสักทีได้รึยัง? แต่...แต่การจะยื่นคำขาด ฝ่ายหญิงควรมั่นใจนะว่า คุณคบกับเค้ามานานพอสมควรแล้ว
ไม่ใช่เพิ่งคบกันมาได้เพียง 3-4 เดือนก็บอกให้เค้ามาสู่ขอเพื่อที่จะจัดงานวิวาห์กันแล้ว โถ...มันจะเร็วไปหน่อยหรือเปล่า? การมีคู่ครองคุณควรมีความรอบคอบก่อนตัดสินใจ,ขอให้ดูใจซึ่งกันและกันให้ดีก่อนน้า ไม่ใช่เร่งรัดหรือรีบร้อน ใจร้อนไปก็ใช่ว่าเค้าจะเทใจให้ซะที่ไหนกัน.
@@@@
เมอร์ลิน