เราผ่านช่วงเวลาที่ได้เห็นคนไทยเฮลั่นพร้อมๆกัน กอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากที่รู้ข่าวว่า เราเจอเด็กๆทั้ง 13 ชีวิตที่ติดถ้ำหลวงแล้ว ทุกคนรอดปลอดภัย ลุ้นขั้นต่อไป คือจะพาน้องๆ ออกมานอกถ้ำเมื่อไหร่ และอย่างไร ยังเฝ้าส่งกำลังใจให้เสมอ และกราบขอบคุณทุกหัวใจที่เป็นผู้เสียสละ ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่เห็นคุณค่าการมีลมหายใจของน้องๆ ใครทำอะไรตรงไหนได้ก็ช่วยกัน ทุกสรรพกำลังถล่มลงไปเพื่อให้ความช่วยเหลือให้น้องๆ กลับสู่อ้อมกอดของพ่อแม่ เลยไม่ค่อยแปลกใจ ที่หลายคนร้องไห้ ตอนได้รับข่าวดี เพราะทุกคนมีหัวใจเดียวกัน แต่ที่ยังมันส์อยู่หน้าแป้น คอยหยอดคำพูดแรงๆ ปั่นกระแสให้คนหันมามอง ก็ต้องปล่อยเขาไป อันไหนบั่นทอนมากมาย ก็อย่าไปโต้ตอบอะไร สไลด์ผ่านไป ถือซะว่า โลกนี้คนเราไม่เหมือนกัน ถือเป็นความหลากหลายทางชีวภาพอย่างหนึ่ง 

ล่าสุดชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นหนึ่ง ในวันที่ตอนนี้เริ่มมีดราม่าหาคนผิด กรณีเข้าไปติดในถ้ำว่า ไม่มีใครต้องถูกตำหนิ ทุกคนล้วนได้บทเรียนของตนเองแล้ว นั่นสิ อย่าให้การอยู่ในถ้ำ ทำร้ายเขาน้อยกว่าการออกมานอกถ้ำเลย  

ยังจำครั้งหนึ่งที่น้อง จอยซ์ มาเป็นแขกรับเชิญในรายการ Club friday Show น้องเล่าถึงชีวิตตอนอยู่ในเรือนจำ ตอนที่ตัวเองเคยทำผิดเกี่ยวกับเรื่องของยาเสพติด วันที่น้องพ้นโทษ พูดกันง่ายๆ ว่า ประตูคุกเปิด แล้วเห็นสื่อมวลชนจำนวนมหาศาล พร้อมมีการถ่ายทอดสดในวันที่ตัวเองได้รับอิสรภาพ  น้องใช้คำว่า วันที่เข้าคุกว่าน่ากลัวแล้ว วันที่กำลังจะออกนอกคุกน่ากลัวกว่า ความหวังเล็กๆ ที่อยากมี คือไปทานสุกี้กับครอบครัว ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ จะต้องออกมาเจอกับบรรยากาศที่ทำให้วางตัวยากขนาดนี้ 

...

ไม่มีใครอยากทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่เมื่อทุกเหตุการณ์เกิดขึ้น ก็เรียนรู้กับมัน เหมือนชื่อหนังสือเล่มหนึ่งบอกไว้ค่ะ “สิ่งไหนเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ” เมื่อเจอน้องๆ เราได้เจอความรู้ที่ยิ่งใหญ่อีกหลายอย่างเพื่อเป็นแนวทางปกป้องคนอื่นๆ หากอนาคตเกิดเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายไม่ต่างจากครั้งนี้ อย่างน้อยนี่คือเหตุการณ์ที่เราเห็นความรักและความเสียสละที่ยิ่งใหญ่จากผู้คนมากมาย การบริหารจัดการ การเรียนรู้กลไกการดำเนินอยู่ของชีวิต 

จะเป็นเรื่องถูกหรือผิด ทุกอย่างเป็นบทเรียนให้กับชีวิตเราได้ทั้งนั้น ในเรื่องความรักก็เช่นกัน ถ้าเตือนหรือบอกแล้วไม่เชื่อ ก็ต้องปล่อยให้ ชีวิตจริงสอนกัน บางครั้งความเจ็บปวดก็เป็นครูที่ดี

“พี่อ้อยคะ หนูคุยอยู่กับพี่คนหนึ่ง เราให้สถานะกันเป็นพี่น้อง พี่เขามีแฟนอยู่แล้ว ตอนนั้นเราก็คุยกันตลอด แต่หนูทนไม่ได้กับสถานะที่บอกไว้ว่าพี่น้อง เพราะความสัมพันธ์มันมากกว่านั้น หนูเลยตัดสินใจถอยออกมา บล็อกทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่เขา เหลือแค่ไลน์ที่เขาสามารถติดต่อหนูได้ พอพี่เขาเลิกกับแฟน พี่เขาก็ติดต่อมาหาหนู หนูก็ใจอ่อนกลับไปคุยกับเขา คุยมาสักพัก หนูก็ถามว่าคุยกันในฐานะอะไรตอนนี้ เขาให้หนูได้แค่พี่น้อง แต่เราไปเจอกันตลอดนะคะเวลาที่ว่างตรงกัน หนูแอบเห็นเขาคุยเฟซฯ กับผู้หญิงหลายคน หนูไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร อยากขอให้เขาเลิกคุยก็ทำไม่ได้ ทุกวันนี้พี่เขาเปลี่ยนไปมาก ตอบแชตหนูน้อยลง ไม่ค่อยได้คุยกันเลย หนูรู้แหละค่ะว่าเขามีคนอื่น แต่หนูยังถอยออกมาไม่ได้ ทำยังไงดี อยากให้พี่ช่วยให้คำแนะนำหนูหน่อย”

สัญญาณอันตรายเสียงดังลั่น แต่เราแกล้งฟังไม่ได้ยิน เขามีแฟน แล้วยังมีความสัมพันธ์กับเราที่เขายังพยายามเรียกกันว่า “พี่น้อง” จริงๆ แค่ไม่ต้องรับผิดชอบความสัมพันธ์ เราเองก็ให้ความหวังตัวเองไปวันๆ ว่า ถ้าไม่รักกันไม่น่ามามีอะไรกับเรา แล้วเขาก็ทำทุกอย่างให้ชัดขึ้นไปอีก ในวันที่เขาเลิกกับแฟน เขาก็ยังไม่ให้เราแทนที่อยู่ดี ช่างชัดเจนไปซะทุกสิ่ง แค่เรายังไม่ยอมรับความจริงเท่านั้น เมื่อเรายอมเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจ ทำไมเขาต้องเลือกเราเป็นตัวจริง ไม่เห็นต้องทิ้งใครเพื่อเรา คนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ยอมรับได้ คนเห็นแก่ตัวสบายไป ไม่ต้องแคร์หัวใจใครทั้งนั้น วันนี้ก็เช่นกัน ย้อนไปในวันที่เขามีแฟน ยังแอบมามีเราได้ แปลกตรงไหนในวันที่มีเรา เขาจะแอบไปมีใครๆ เรากลายเป็นกิ๊กคุณภาพ ยอมรับทุกสถานภาพ  รู้ว่าอะไรถามไม่ได้ ไม่ต้องดูแล ฉันก็อยู่ได้ อยากได้ก็มา อยากลาก็ไป ไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใด ใช้คำว่า พี่น้อง เรื่อยไป เขาก็ไม่ได้หลอกใคร เราก็ยอมรับได้ทุกเงื่อนไข เขาเลยไม่ต้องทำอะไร เราก็ลดคุณค่าตัวเองเกินไป  อยากเป็นตัวจริงแทบตาย แต่กลายเป็นของแถม  เพราะรักแต่เขาจนไม่เหลือพื้นที่ให้ตัวเรา หลายครั้งที่การยอม ไม่ได้ทำให้เขาเห็นค่า แต่กลายเป็นว่ายิ่งเคยตัว น้องถามว่า ทำยังไงดี? น้องก็มีคำตอบ แค่พร้อมจะทำหรือยัง  ถ้ายัง ก็เดินหน้าต่ออีกสักตั้ง หัวใจพังถึงที่สุด น้องคงหยุดได้เอง เราคงเห็นภาพเดียวกันอยู่ คือรู้ทั้งรู้ว่าเขาคงไม่มีวันหยุดที่เราแน่ๆ