ช่วงนี้มีคุณพ่อคุณแม่พาน้องๆ มัธยมมาปรึกษาครูเคทอยู่หลายคน เรื่องลูกไม่รู้จะเรียนอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร หรือประกอบอาชีพอะไรในอนาคต เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่ผลการเรียนอยู่ระดับปานกลางจนถึงต่ำ ชอบเล่นเกม หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ค่อยชอบพูดคุย ถามคำตอบคำ หรือไม่ก็ตอบคำถามเพื่อให้พ่อแม่สบายใจ เช่น ถ้าพ่อแม่ถามว่าอยากเรียนอะไร เด็กก็มักจะตอบอะไรออกไปเพื่อหวังจะให้พ่อแม่สบายใจหรือเลิกถาม เช่น เรียนวิทย์ เรียนศิลป์คำนวณ ฯลฯ หรือถ้าพ่อแม่ถามว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร หรือจะไปทำมาหากินอะไร เด็กอาจจะตอบว่า อยากเป็นหมอ อยากเป็นนักบิน อยากเป็นทหาร พ่อแม่ได้ยินแล้วก็ปลาบปลื้มสบายใจ และให้สังเกตว่า เมื่อเด็กตอบคำถามพ่อแม่แล้ว พ่อแม่พอใจแล้ว ทุกครั้งที่ถูกถามอีกเด็กก็จะตอบคำตอบเดิม พ่อแม่ก็เลยเชื่อมั่นว่าเด็กอยากจะทำสิ่งนั้นจริงๆ
บางครั้ง อยากให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายลองเปิดใจ และเปิดตา ฟังลูกมากกว่าคำพูดของลูกดูบ้าง หากเด็กอยากจะเป็นหมอ หรือ นักบิน หรือ ทหาร จริงอย่างที่เขาตอบพ่อแม่ ลองดูแววตาว่าเวลาเขาพูดถึงอาชีพเหล่านี้ ตาของเขาเป็นประกายหรือไม่ หากตาไม่ฉายแววเป็นประกายแห่งความชอบ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า passion ก็แสดงว่าเขาไม่ได้ชอบอาชีพนั้นจริงๆ ประการถัดมา ลองสังเกตพฤติกรรมของลูกว่าวันๆหนึ่งสนใจอ่านหรือดูเน็ต ดูสารคดีอะไรที่เกี่ยวกับอาชีพที่เขาบอกว่าเขาสนใจหรือไม่ เช่น เด็กที่บอกว่าอยากเรียนวิศวะเคยซ่อมข้าวของอะไรของเขาบ้าง หรือที่เคยเห็นซ่อมอยู่บ้าง ดูต่อว่าเขาอดทนพอที่จะซ่อมมันจนเสร็จเรียบร้อยหรือไม่ เด็กที่ตอบว่าอยากเป็นหมอ ดูแลสุขอนามัยของตนเองดีหรือไม่ ให้ความสนใจในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บของตัวเองและผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน เวลาพาเขาไปหาหมอ เขาซักถามหมอด้วยความสนใจใคร่รู้หรือไม่ เด็กที่บอกพ่อแม่ว่าอยากเป็นนักบิน กลัวความสูงหรือไม่ เป็นเด็กที่ไม่สนใจอะไรรอบๆ ตัวหรือไม่ ไม่กล้าตัดสินใจหรือไม่ เด็กที่บอกว่าอยากเป็นทหาร เป็นเด็กที่มีระเบียบวินัยและอดทนหรือไม่ หากคำตอบกับพฤติกรรมของเด็กไม่ได้ไปในทางเดียวกัน แสดงว่าเด็กยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรต้องการอะไร แต่ต้องการตอบอะไรเพื่อให้พ่อแม่สบายใจ หรือเพื่อให้พ่อแม่บอกตนเองในแง่ดีเท่านั้น
...

สาเหตุที่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้มักจะไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ความต้องการของตนเอง และที่สำคัญไม่มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่รู้จักคุณค่าและความสามารถที่ตนเองมีอยู่ ในวัยเด็กเล็ก เด็กๆ จะทำนู่นทำนี่ ซึ่งจะแสดงความสามารถเฉพาะตนออกมา แต่มักจะถูกพ่อแม่ละเลย มองว่าเป็นเรื่องของเด็กซน หรือมองว่าเป็นเรื่องผิด ถูกห้ามไม่ให้ทำบ้าง ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นบ้าง พ่อแม่ตามใจมาก หรือปล่อยปละละเลย พ่อแม่คาดหวังไว้สูงบ้าง (คุณพ่อคุณแม่คงเถียงในใจว่าไม่ได้คาดหวังอะไรลูกทั้งนั้น แต่การพร่ำบ่นพร่ำสอน หรือพูดซ้ำๆ ซากๆ ทำให้เด็กคิดว่านั่นคือสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังไว้ค่ะ) บ้านที่พ่อแม่ขี้วิตกกังวล พ่อแม่เจ้าระเบียบ พ่อแม่บ้างาน หรือบ้าสังคม หรือบ้านที่ครอบครัวแตกแยก มักจะพบเด็กที่ขาดแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต และไม่รู้ว่าอยากจะทำอะไรในอนาคตค่อนข้างมาก ปัญหานี้พบได้ในครอบครัวในทุกระดับรายได้ ทั้งรวย ทั้งจน
ไม่อยากให้ลูกโตขึ้นไร้อนาคตหรือขาดแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต ลองเปลี่ยนแปลงที่พ่อแม่ก่อน โดยการฝึกฟังลูกให้มากกว่าการพูดคุยสั่งสอนลูก ชวนลูกคุยในเรื่องราวต่างๆในเชิงลึกบ้าง หัดตั้งคำถามให้ลูกคิดเองบ้างโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องชี้นำ เช่น แทนที่จะถามว่าลูกว่าคนในข่าวดีหรือไม่ดี ลองถามว่า ลูกคิดว่าอะไรทำให้คนในข่าวนั้นเขาตัดสินใจทำอย่างนั้น ถ้าลูกตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นลูกจะทำอย่างไร ฯลฯ แค่เปลี่ยนวิธีการสื่อสารในครอบครัวก็จะช่วยทำให้เด็กๆ เติบโตขึ้นอย่างมีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง และมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น และสามารถรับรู้ความชอบความสนใจของตนเอง และสามารถออกแบบชีวิตของตนเองได้ค่ะ
ใครมีปัญหา ลูกไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ