“แต่ละวันสมองมีเรื่องต้องตัดสินใจกว่า 600 เรื่อง ในจำนวนนี้ถ้าสมองต้องคิดทุกครั้ง หัวคงระเบิดแน่" โดยสมองตัดสินใจเรื่องที่จำเป็นจริงๆ เพียงแค่ 5% เท่านั้น ส่วนที่เหลือ 95% นั่นหรือ ก็ตัดสินใจโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการคิด หรือตัดสินใจผ่านสัญชาตญาณนั่นเอง
ซึ่งในวงการโฆษณานั้นต้องการให้ตัดสินใจโดยไม่ผ่านกระบวนการคิด เพราะทุกครั้งที่คิด ผู้บริโภคจะคิดมาก และไม่ซื้อหรือไม่ทำตามที่แบรนด์ต้องการในที่สุด” จิณณ์ เผ่าประไพ Managing Director จาก บริษัท CJ WORX กล่าวไว้ในวันเปิดตัว CJ / BUYERMINDS ในเครือของ CJ WORX
นับว่าเป็นครั้งแรกในไทยและอาเซียน ที่มีการใช้หลักวิทยาศาสตร์กับ วงการโฆษณาและดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเอเจนซี่นี้ให้บริการดีไซน์พฤติกรรมของผู้บริโภค โดยใช้หลักจิตวิทยามาปรับปรุงดีไซน์ UX (User Experience) ในโลกออนไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภคกระทำอะไรบางอย่างตามที่แบรนด์ต้องการ อาทิ สั่งซื้อสินค้า, กรอกข้อมูลส่วนตัว ฯลฯ เป็นความร่วมมือจากทีมวิจัยประเทศเนเธอร์แลนด์และไทย
...
เมื่อ “ไทยรัฐออนไลน์” นำเสนอความพิเศษที่ไทยรัฐล้วงลึกได้คือ หลักจิตวิทยาที่น่าสนใจสำหรับหลายๆ เจ้าของแบรนด์ต่างๆ ที่มีพื้นที่สื่อสารกับผู้บริโภค มาดู 5 ปัจจัยหลักจิตวิทยา สำหรับการดีไซน์ในโลกออนไลน์ที่คนมักมองข้ามกัน ที่ได้จากงานแถลงข่าวนี้
1. DISTRACTION
ไขว้เขวหนีหายแทนที่จะซื้ออยู่แล้ว โดยในพื้นที่แบรนด์ พยายามอย่า ทำให้ผู้บริโภคไขว้เขว หรือมีหลายช่องทาง, หลายหน้าต่างลิงค์ให้ผู้บริโภคออกจากหน้าที่เราต้องการปิดการขาย อารมณ์แบบจะถึงตอนจ่ายเงินแล้ว แต่กลับมีรหัส โปรโมชั่นให้กรอก หรือมีหน้าต่างให้คลิกได้ออกไปมากมาย นั่นเท่ากับว่า โอกาสที่ผู้บริโภคจะย้อนกลับเข้ามานั้นมีน้อยมาก ให้ดีไซน์ซ่อนเมนูต่างๆ หรือไม่มีหน้าต่างอื่นใดที่จะดึงผู้บริโภคออกไป
2. INVISIBILITY
ยิ่งลึกยิ่งไม่เจอยิ่งล่องหน บางครั้งข้อมูลสำคัญที่เป็นจุดขายของแบรนด์ แต่กลับอยู่หน้าที่ลึกสุด หรืออยู่ล่างสุด กว่าจะสไลด์นิ้วถึงหรือเลื่อนลงมาเห็น เพราะหลักจิตวิทยาพบว่า ยิ่งอยู่ลึกคนยิ่งไม่รับรู้ เสมือนสัตว์ทะเลหน้าตาแปลกประหลาดที่เราไม่เคยพบเห็น เพราะมันอยู่ใต้ทะเลน้ำลึกมากๆ ดังนั้นของดีไม่ต้องอยู่ลึก
...
3. NO DOPAMINE
ไม่มีสิ่งมีสิ่งเร้าต่อเนื่อง ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ โดพามีนคือ สารเคมีในสมองที่หลั่งออกมาเมื่อเรามีความอยากจากแรงกระตุ้น จากการเห็นรางวัลเป็นตัวล่อ และจะค่อยๆ ลดลงเมื่อร่างกายกำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ได้รางวัล จนลดลงสู่ภาวะปกติเมื่อได้รับรางวัล ทั้งนี้เปรียบเสมือนผู้บริโภคจะหลั่งโดพามีน เมื่ออยากได้สินค้าในเว็บช็อปปิ้งออนไลน์ แต่เมื่อผ่านหลายขั้นตอน กระบวนการ ภาพสินค้านั้นหายไปเหลือเพียงหน้าเปล่าๆ ให้กรอกข้อมูล สิ่งนี้เองทำให้โดพามีนหายไป อาจทำให้ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้า หรือความอยากได้สินค้าเหล่านั้น ลดลง ดังนั้นจึงต้องกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะปิดการขายหรือสิ่งที่ต้องการ
4. BIG COMMITMENT
บีบคั้นให้ต้องซื้อทันที แต่ถ้าเทียบกันระหว่าง ซื้อด่วน กับ เช็กสินค้าในสต็อก ปุ่มไหนทำให้ผู้บริโภครู้สึกดีกว่ากัน คงเป็นการเช็กสินค้าในสต็อก เพราะไม่ได้เป็นการบีบบังคับจนเกินไป ที่พบเห็นคำยังมีอีก อาทิ ซื้อทันที, ซื้อด่วน, จองเลย ฯลฯ ทางจิตวิทยาถือเป็นการบีบคั้นผู้บริโภค ที่อาจทำให้ไม่สามารถปิดการขายได้
...
5. TOO MUCH CHOICE
ตัวเลือกมากมักสับสน สินค้าหนึ่งชนิดมีสีให้เลือก 10 สี ทำให้คนเลือกไม่ถูก หรือมีปุ่มมากมายให้ผู้บริโภคเลือกกด ทำให้เกิดความ สับสน จนทำให้การซื้อเป็นไปได้ยาก เพราะลังเลเลือกไม่ถูก ซึ่งจำนวนตัวเลือกที่เหมาะสมคือ ไม่ควรเกิน 2-5 ชนิดต่อแบบ อย่างประสบการณ์จิตวิทยาที่ลองกับร้านขายแยมในต่างประเทศ ลดชนิดของแยมจาก 15 รส เหลือ 5 รส ช่วยเพิ่มยอดขายได้ถึง 10 เท่า
...
ทั้งนี้ คุณจิณณ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ประสบการณ์ที่พันธมิตรของเราได้ให้บริการกับ BOL.COM เว็บช็อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังในเนเธอร์แลนด์ โดยใช้หลักจิตวิทยาปรับปรุงเว็บไซต์ ทำให้เพิ่มยอดขายได้มากถึง 300%
แบรนด์จะประสบความสำเร็จมียอดขายมากมาย หรือบรรลุ วัตถุประสงค์ตามที่ต้องการนั้น ไม่ใช่เพียง 5 เทคนิคนี้เท่านั้น แต่ยังมีเทคนิคอีกมากมาย เจาะลึกรายละเอียดตามอินไซด์ของผู้บริโภคที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จปิดยอดขาย หรือได้สิ่งที่ต้องการ ก็อาศัยการปรับปรุงจากหลายส่วนไปพร้อมกันนั่นเอง.