กรุณาพลิกหนังสือเรียนเดี๋ยวนี้!! ถ้าไม่มี...ลุกขึ้นไปหยิบของลูกหรือของหลานดู ว่าหนังสือเล่มนั้น เป็นหนังสือจากสำนักพิมพ์ใด? คำตอบไม่ต้องบอกเรา แต่วันนี้ พี่แคมปัส จะพาไปรู้จักผู้ชายคนหนึ่ง คนที่อยู่เบื้องหลังของหนังสือเรียนมากมาย เบื้องหลังการสนับสนุนสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่กระดาษสี ที่ตัดแปะลงบนหนังสือ เพื่อรอเด็กๆ มาทำแบบฝึกหัด หรือแค่ได้ละเลงสีสันสวยงาม อะไรซ่อนอยู่ในหนังสือ...วันนี้มีคำตอบ??
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อักษร เอ็ดดูเคชั่น จำกัด (มหาชน) "ตะวัน เทวอักษร" ผู้บริหารไฟแรง ที่เป็นถึงผู้บริหารบริษัทผู้นำนวัตกรรมทางการศึกษาของประเทศไทย ฟังแล้วดูล้ำทันสมัย นั่นแค่เรื่องงาน แต่ชีวิตไลฟ์สไตล์เค้านี่สิ กลับเรียบง่ายเป็นกันเองสุดๆ สิ่งที่น่าสนใจในวันนี้ คือ วิธีคิดของเค้า มันอาจทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงได้ในทันตา แต่ถ้าความคิดเค้าดี ทำไมไม่ฟังกันบ้าง?
เพราะ "การศึกษา" ถือเป็นรากฐานของประเทศชาติ คนคนนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ถึงเค้าจะไม่ใช่ครู แต่ครูก็ต้องขอบคุณเค้า เพราะเค้าคือคนที่คอยผลักดันภารกิจของครูให้สำเร็จลุล่วงพันธกิจ ไปค่ะ...ไปฟังเรื่องราวของเค้าพร้อมๆ กัน
...
เส้นทางการทำงาน
เริ่มเล่าเส้นทางการทำงานให้ฟังอย่างสนุกสนาน คือ ตะวันเรียนจบด้านวิศวะ แต่ไปทำงานที่เกี่ยวข้องกับวิศวะ ซึ่งทำได้เพียงไม่กี่วัน ก็ตัดสินใจลาออก เพื่อไปสมัครงานกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเงิน (อ้าวงง...ไปฟังต่อค่ะ)
เรื่องมันมีอยู่ว่า...
เมื่อตอนเรียนปี 3 ตะวันได้เจอกับเน็ตไอดอลคนหนึ่ง ที่รู้สึกว่า พี่เค้าเท่มาก และอยากเป็นแบบเค้า อยากทำงานการเงินแบบเค้า ก็เลยหันไปสนใจเรื่องเกี่ยวกับการเงิน ระยะเวลา 1 ปี ในช่วงเวลาปี 4 จึงเป็นเวลาแห่งการเรียนรู้เรื่องการเงินของเค้า เป็นเหตุให้เมื่อจบมา เค้าจึงมีโอกาสมากกว่าใคร ในการทำงานด้านการเงิน บริษัทที่เค้าไปสมัครก็มอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับเค้าอย่างมาก จนได้ทำงานการเงินจริงๆ ทำได้นานพอสมควร ทุกอย่างจบลง เค้าจำเป็นที่จะต้องมาทำธุรกิจของครอบครัว
ภารกิจที่เกิดขึ้น?
ผมก็ตกลงว่า...ทำ ประมาณ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการศึกษาเลย เริ่มจาก 0 เลยก็ว่าได้ ซึ่งผมถือว่าเป็นข้อดี กับคำถามที่ว่า ผมต้องทำอะไร? นั่นคือ...สิ่งที่ขับเคลื่อนทุกอย่างให้เป็นแบบทุกวันนี้ ผมชอบคุยกับคนอื่นมากๆ ทั้งพนักงาน ผู้บริหาร ร้านลูกค้า โรงเรียน ผมก็ไปเยี่ยมไปคุย ผมถามเขาว่า ผมควรจะทำอะไร เพื่อที่จะช่วยให้เขาสอนได้ดีขึ้น ซึ่งก็ได้คำตอบมาอย่างหลากหลาย เขาบอกว่า "ฉันไม่ได้อยากได้หนังสือเรียน แต่ฉันอยากได้การเรียนรู้ที่ดีขึ้น" และนั่นก็เป็นภารกิจของผม
เปลี่ยนจาก "ขาย" เป็น "ช่วย"
ผมจึงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนองค์กร จากบริษัททำหนังสือเรียน ให้กลายเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำด้านการเรียนการสอน ผมดึงให้บุคคลที่เกี่ยวข้องในองค์กร มาบอกให้เห็นภาพว่า ภารกิจของเรา ไม่ใช่แค่การทำหนังสือเรียน ที่เอาเนื้อหามาแปะลงกระดาษ แต่เราต้องออกแบบสื่อการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อมาเอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้นั้นๆ ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมันก็ไม่ง่ายเลย
บ่มเพาะคน...สำคัญ
เราใช้เวลาเป็นปีๆ ในการบ่มเพาะคน สร้างความสามารถของคน สร้างทีมคิดโครงสร้างใหม่ เป็นกระบวนการต่อเนื่องมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผมสนุกสนานมาก ผมก็คิดว่า...มันเป็นการปรับเปลี่ยนองค์กร จากแบบหนึ่งไปสู่อีกแบบ แบบเดิมคือการเอาเนื้อหามาแปะบนกระดาษและพิมพ์ขาย แต่สิ่งที่ผมมองเห็นในตอนนี้ คือ ห้องเรียนแบบใหม่นั้นควรเป็นอย่างไร?
เปลี่ยนครูไปเลย
ผมขอยกตัวอย่าง โรงเรียนธรรมดาแห่งหนึ่ง ที่เรามีโอกาสได้เข้าไปช่วยเหลือ สิ่งที่เราทำก็คือ เราพัฒนาบทเรียนให้ดีขึ้น และส่งมอบให้คุณครู เพื่อนำไปถ่ายทอดต่อให้กับเด็กๆ โดยให้เด็กๆ ได้ศึกษาตัวอย่างปัญหาที่เราตั้งขึ้น ให้เค้าได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา และนำสิ่งที่ได้จากการศึกษานั้น มานำเสนอให้เพื่อนๆ ได้ฟัง และนี่ก็คือการเรียนรู้สมัยใหม่ ที่ทำให้เด็กๆ เหล่านี้มีความคิดที่แตกต่างไปจากเด็กทั่วไป...ที่นั่งฟังครูสอนเพียงอย่างเดียว
แนวคิดที่แตกต่าง
คอนเซ็ปต์ของกระบวนการสอน...ที่เราได้ออกแบบมานั้น คือ การใช้สื่อที่มีความหลากหลาย ผสมผสานเข้ากับกระบวนการสอนที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามอบให้แก่คุณครู ในรูปแบบของการอบรม และเราเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ ที่พัฒนาวิธีการสอนแบบนี้ ให้กับครูทั่วประเทศได้นำไปใช้ แทนที่ครูจะถามคำถามในเชิงความจำเพียงอย่างเดียว ครูควรตั้งคำถามว่า...ทำไม? เพื่อให้เด็กได้คิด ได้ใช้ความสามารถ และเป็นการทดสอบว่า เด็กๆ เค้าเข้าใจหรือไม่ เราทำไกด์เหล่านี้เพื่อให้เขามองเห็นว่า...ครูธรรมดาก็สอนได้ มันไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
...
ตีโจทย์...เป็นภาพ
เรานำความคิดแบบสิงคโปร์มาใช้กับเด็กไทย โดยอาศัยการตีโจทย์ให้เห็นเป็นภาพ เป็นการเปลี่ยนวิธีการคิดในรูปแบบใหม่ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และนี่ก็คืองานที่เราทำ และจากเดิมนั้น เราก็ไม่ได้ให้ความสนใจในส่วนของห้องเรียนมากนัก เราจึงเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ โดยให้คนที่ทำคอนเทนต์เข้าไปมีส่วนร่วมในสถานที่จริง เพื่อให้เค้าเข้าใจความเป็นห้องเรียนมากขึ้น อย่างที่รู้ว่าเนื้อหากับศาสตร์การสอนนั้น มันเป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกันได้ยาก และเราจะเป็นคนที่ดึงทั้ง 2 สิ่งมาอยู่ด้วยกัน เพื่อให้คนอยากที่จะเรียนมากขึ้น
"แนวคิด" สู่ "มาตรฐานอุตสาหกรรม"
ส่วนตัวผมรู้สึกดีใจ ที่สิ่งที่เราสร้างมานั้น กลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมด้านการศึกษา หลังจากที่เราเริ่มทำมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็มีอีกบริษัท ทำแบบเดียวกันกับเรา ส่วนตัวผมนั้นไม่ได้รู้สึกแย่ และไม่ได้มองว่าเค้าก๊อปเรา แต่ผมมองว่า...เป็นสิ่งที่ครูควรได้รับ ซึ่งไม่ว่าใครจะทำมันก็ดีทั้งนั้น ทั้งนี้มันทำให้เราต้องกระตุ้นเพื่อให้ทีมงานของเรามีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดงานแสดงผลงานเพื่อให้พวกเค้าได้แสดงความสามารถของตนเอง ซึ่งพวกเค้าก็ดีใจที่ได้พรีเซนต์งานที่ตัวเองทำ เป็นการพัฒนาคนโดยที่เขาอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
...
ห้องเรียนที่มีชีวิตชีวา ครูต้องพูดน้อยลง
ครูไม่จำเป็นต้องเล่าให้ฟังเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน แต่ควรจะสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเด็กๆ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งนั่น...จะทำให้ห้องเรียนดูมีชีวิตชีวามากขึ้น และถ้าจะถามว่า "วันนี้มีห้องเรียนที่เป็นแบบนี้มั้ย?" ผมก็บอกได้เลยว่า...ทุกห้องคงไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก แต่ถ้าครูพูดน้อยลง ครูถามมากขึ้น ให้เด็กๆ เค้าได้พูดมากขึ้น เพียงแค่นี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว
รุ่นก่อน...ก็เลี้ยงควาย
ผมมองว่าการศึกษานั้นเป็นรากฐานของทุกอย่าง ยกตัวอย่าง ครอบครัวของผม รุ่นก่อนๆ เป็นชาวนาเลี้ยงควายมาก่อน และทวดของผมก็เข้ามาทำงานที่เมืองไทย มาขายหนังสือ และทำงานส่งพ่อของผมไปเรียนอเมริกา จนมาถึงรุ่นผม ซึ่งผมก็โชคดีที่ได้รับโอกาสที่ดี มีการศึกษาที่ดี และผมคิดว่า...เด็กไทยทุกคนควรได้รับโอกาสที่ดีเช่นกัน
พูดน้อยๆ ให้เค้าพูดเยอะๆ
ผมมองว่า เด็กทุกคนมีความเก่ง และเด็กสมัยนี้ไม่ชอบให้ผู้ใหญ่พูดเยอะ ทางที่ดีเราควรจะถามเขามากขึ้น ให้เขาได้พูด ได้แสดงออกทางความคิด แค่ถามเยอะๆ เพียงแค่นี้เด็กก็จะเก่งเอง วิธีการทำงานของผมเองก็เหมือนกัน เวลาอยู่ในห้องประชุม ผมจะไม่แสดงความคิดเห็นอะไรก่อน แต่ผมจะถามความคิดเห็นของแต่ละคนและนำมาสรุป ผมมักจะคิดว่า แต่ละคนนั้นมีความเก่งของตัวเอง และเราจะช่วยให้เขาแสดงความสามารถออกมา
...
คำถามจากคุณปู่...ตายแล้วยังไง?
ตอนผมอายุประมาณ 17-18 มีคำถามหนึ่งที่ปู่ถามผม ปู่ถามผมว่า "ถ้าเราจากโลกนี้ไปแล้ว เราอยากให้คนพูดถึงว่าอย่างไร" และคำตอบของผมก็คือ "อยากให้ครอบครัวของผมภูมิใจในตัวผม และคนรอบข้างผมก็มีความสุขที่มีผม ผมอยากให้สังคมวงกว้างมองว่าผมได้ทำประโยชน์ต่อสังคม" และนี่ก็คือวิสัยทัศน์ของผม ซึ่งผมก็ทำประโยชน์ต่อสังคมอยู่แล้วมาตลอด แค่ทุกคนได้รับรู้ในสิ่งที่ทำ...แค่นี้ก็บรรลุแล้ว
เลี้ยงลูก = ห้องเรียน
อยากให้ครูถามเยอะๆ ให้นักเรียนเขามีปฏิสัมพันธ์กันเยอะๆ ให้นักเรียนได้คิดเอง ได้สร้างสรรค์เอง แค่นี้แหละเพียงพอ ผมเองก็เลี้ยงลูกแบบนี้ ลูกผมก็ไม่ค่อยชอบฟัง ผมก็มักจะถามเขาเยอะๆ เพื่อให้เขาได้คิดได้พูด ในห้องเรียนก็ควรจะเป็นแบบนี้
เทคนิคเฉพาะตัว
ตอนเด็กๆ สิ่งที่ผมทำในห้องเรียนก็คือการวาดรูป การวาดรูปเป็นวิธีการสรุปความรู้ของผม และผมก็ไม่เคยอ่านหนังสือเวลาสอบเลย แต่ผมก็สอบได้ที่ 1 ที่ 2 มาตลอด ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราคิดเป็นรูป เด็กจำนวนเยอะก็คิดแบบนี้ ทำไมเราไม่ทำหนังสือแบบนี้
หนังสือเป็นตัวแทนคุณ?
ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมก็แค่ไปเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ได้เห็นว่าเด็กๆ ก็มีวิธีคิดที่หลากหลาย เด็กบางคนอาจจะเก่งจากการฟัง เด็กบางคนก็อาจเก่งจากการดูรูป หรือเด็กบางคนก็อาจจะเก่งจากการพูด มันก็มีความหลากหลาย และในกิจกรรมที่เราจัดให้นั้น ก็จะมีกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งเด็กคนไหนมีวิธีการคิดวิเคราะห์แบบไหน เราก็ควรจะสอนเขาแบบ เช่น ให้เด็กอภิปราย วาดรูป ดูวิดีโอ
ไม่จำเป็นต้องแยก "คนเก่ง" กับ "คนไม่เก่ง"
เมื่อก่อนเด็กที่ได้ดีที่สุด คือ เด็กที่เรียนรู้จากการฟังหรืออ่านเท่านั้น ส่วนเด็กที่เน้นปฏิบัติก็จะถูกมองว่าแย่ แต่จริงๆ แล้วในห้องเรียนไม่จำเป็นต้องแยก "คนเก่ง" กับ "คนไม่เก่ง" เพระคนไม่เก่ง ก็ควรจะมีโอกาสได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ได้เรียนรู้ในมุมที่เขาสามารถซึมซับได้จากการอ่านหนังสือ เด็กแต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน ดังนั้นงานของเราต้องคิดให้หลากหลาย ซึ่งพนักงานด้านเนื้อหาของเราก็จะต้องรู้ศาสตร์การสอนด้วย
10 ปีของการทำงาน อะไรเปลี่ยนไป?
ผมว่าอะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนเยอะนะครับ หนังสือทุกวันนี้ต่างไปจากหนังสือที่เราเรียนในวัยเด็ก เมื่อถามว่า...สามารถวัดผลได้ไหม? ตอนนี้อาจจะยังไม่สามารถวัดผลอะไรได้ชัดเจน ซึ่งผมนั้นกำลังทำอยู่ครับ แต่สิ่งที่เราวัดได้ในตอนนี้ก็คือ เสียงของเหล่าคุณครู และโรงเรียนต่างๆ ที่เราไปเยี่ยมมา บอกว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันเป็นประโยชน์แก่พวกเขา
ทำเพื่อครู!
เราได้เห็นสีหน้าที่มีความสุขเมื่อพูดถึงสินค้าของเรา มีครูท่านหนึ่ง เขาเล่าให้ผมฟังว่า ตัวเขานั้นไม่ได้จบวิทยาศาสตร์มา แต่เขาก็สามารถสอนวิทย์ได้ เพราะมีหนังสือของเราเป็นตัวช่วย ปัจจุบันคุณครูในประเทศมีไม่เพียงพอ ทำให้ครูหนึ่งคนต้องสอนมากกว่าหนึ่งวิชา เราก็เลยช่วยเป็นตัวเสริมให้เขาสามารถสอนวิชาอื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งในแต่ละปีเราก็ทำแจกฟรีให้กับคุณครูหลายล้านเล่ม
ทำหนังสือให้โรงเรียนเอกชนใช้เท่านั้น?
จริงๆ ก็ใช้ทั้งโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนเลยครับ เราลงทุนไปเยอะมาก และเราส่งพนักงานของเราเรียนต่อด้านการเรียนการสอนถึง 2 คน ซึ่งไม่มีบริษัทในไทยที่ไหนทำ และล่าสุดเราเพิ่งส่งพนักงานไปซานอันโตนิโอ เพื่อไปเรียนรู้เรื่องการสอนโค้ดดิ้งให้กับครูวงกว้าง เพื่อรองรับดิจิตอลอีโคโนมี่ ไทยแลนด์ 4.0 ที่กำลังจะมาในไม่ช้า ซึ่งถ้าเด็กๆ เค้าเริ่มมีความรู้เรื่องโค้ดดิ้ง ก็จะทำให้เค้าโตไปเป็นเด็กยุคดิจิตอลได้
บริหารคน
ผมรู้สึกสนุก และตื่นเต้นมากกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เพราะมันเปรียบเสมือนวิญญาณของห้องเรียน เป็นสิ่งที่ดูไม่ออก ถ้าคุณไม่ได้เข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง บริษัทเรามีพนักงานทั้งหมดประมาณ 1,400 คน ซึ่งคนที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ มีประมาณ 250 คน แต่ผมก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก ผมเพียงแค่จุดประกายทิศทางให้พวกเขาได้มองเห็นภาพเท่านั้น ถึงแม้เด็กบางคนไม่ถนัดด้านการจำ แต่ก่อนอื่นเราจะต้องอธิบายโครงเรื่องทั้งหมด ให้เขาเห็นภาพ และเขาจะเข้าใจเนื้อหาต่างๆ มากขึ้น
สิ่งที่เป็นปัญหา?
ก็คงจะเป็นเรื่องความ "ตระหนัก" ครับ เพราะถ้าคนไม่มีความตระหนัก การศึกษาก็จะยังคงเป็นแบบเดิม และสิ่งที่ท้าทายสำหรับผมก็คือการทำให้ผู้มีส่วนร่วมคนอื่นๆ สามารถมองเห็นภาพเดียวกัน และเราได้สร้างทางออกไว้ให้แล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องของการศึกษาส่วนมากจะโทษครูกับกระทรวงฯ แต่ผมไม่เคยโทษครู ผมคิดว่าเราต้องให้แรงบันดาลใจแก่เขา และเราต้องช่วยเขาแก้ไขปัญหา
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับหนังสืออีก 10 ปีข้างหน้า
ผมไม่ได้มองแค่ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิตอล เพราะผมมองถึงกระบวนการสอนของครู ตอนนี้เราพร้อมที่จะผลักดันกระบวนการสอนให้ทันสมัยมากขึ้น เราลงทุนพัฒนาด้านดิจิตอลเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไว้เรียบร้อย แต่สิ่งที่สำคัญคือ "ครูจะสามารถเปลี่ยนกระบวนการสอนได้มั้ย?" ซึ่งถ้าครูสามารถเปลี่ยนกระบวนการสอนได้ ทุกอย่างก็พร้อม เพราะเราได้เตรียมสื่อต่างๆ ไว้คอยสนับสนุนแล้วนั่นเอง และถ้าจะถามว่า "กลัวมั้ย ว่าจะได้รับผลกระทบ?" อย่างที่บอกว่าเรามองข้ามจุดนั้นไปแล้วครับ
หอสมุดเมืองกรุงเทพมหานครคือที่พักผ่อน
ผมมาบ่อยครับ เพราะใกล้บริษัท เดินทางสะดวก ส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว อ่านเยอะมาก เช่น หนังสือประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อะไรพวกนี้ ผมจะค่อนข้างสนใจเป็นพิเศษ และผมก็ชอบมาคิดงานที่นี่ ที่นี่เป็นสถานที่ที่เงียบสงบต่างจากบริษัทที่แสนจะวุ่นวาย ผมมักจะหนีความวุ่นวายมาอยู่ที่เงียบๆ หรือเวลาเดินทาง อย่างนั่งเครื่องบินนานๆ 12-13 ชั่วโมง เป็นเวลาที่ผมนั้นได้ไอเดียเยอะมาก เพราะไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเน็ต สมาธิก็เกิด
อยากเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างด้านการศึกษา
1. ให้แรงบันดาลใจกับครูทั่วประเทศ
2. ให้อำนาจครูในการตัดสินใจ ไม่บังคับหรือกำหนดขอบเขต เพราะผมเชื่อว่าการให้สิทธิ์ในการคิด งานที่ได้ย่อมจะออกมาดีกว่า
ความเป็นผม
อย่างที่บอกว่า ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และนอกจากนั้นผมเองยังชอบเดินป่า ถึงจะไม่ใช่เป็นการเดินป่าอย่างจริงจังอะไรมากนัก แค่ได้อยู่ในที่สงบๆ ผมชอบความสงบ มันก็ทำให้ผมได้คิด และสามารถนำไปต่อยอดกับงานที่ทำได้ ผมมีสมุดโน้ตเล่มหนึ่ง ผมมักจะพกติดตัวตลอด ไว้จดในสิ่งที่ผมนึกได้ แต่ผมก็ไม่เคยกลับมาเปิดดูเลยสักครั้ง การจดเป็นวิธีที่ช่วยให้ผมสามารถจดจำเรื่องราวนั้นได้ดี
วิธีการสอนลูก
ผมมีลูก 2 คน คนโต 10 ขวบ คนเล็ก 4 ขวบ วิธีการสอนลูกในมุมของผม คือการเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เขามองเห็นภาพรวมกว้างๆ ให้เขาได้คิด ได้จินตนาการตาม
สิ่งที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ
"ท่องเที่ยว" ครับ ซึ่งจริงๆ ก็ไม่เชิงว่ายังไม่ได้ทำ เพราะผมเองก็เป็นคนที่เดินทางเยอะ ทั้งเดินทางเรื่องงาน หรือแม้แต่เรื่องส่วนตัวก็ตาม ผมคิดว่าการได้เจอสิ่งใหม่ๆ มันเป็นการเรียนรู้ การได้สร้างความสมบูรณ์ให้กับตัวเอง เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีค่ามาก ซึ่งไม่ว่าสิ่งที่เจอมานั้นจะเป็นอะไรที่ธรรมดามากก็ตาม และทุกๆ ปี ผมจะต้องออกเดินทางไปเที่ยวที่ใหม่ๆ อยู่ตลอด และการเที่ยวของผมก็จะมีครอบครัวของผมไปด้วย แต่ถึงแม้จะเป็นคนที่เดินทางมาเยอะ ผมก็ยังมีทวีปที่ผมยังไม่ได้ไป และอยากไปมากก็คือ อเมริกาใต้ กับ แอนตาร์กติกา
"ของสะสม" ที่ "ไม่สะสม"
นาฬิกาเรือนนี้ พ่อผมให้ตอนที่ผมเรียนจบ เมื่อตอนผมอายุ 22 ปี และทุกวันนี้ ผมก็ใส่นาฬิกาเรือนนี้เรือนเดียว ผมไม่ได้สะสมอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนคนอื่น สิ่งที่ผมสะสมก็คือ "ประสบการณ์ที่ดี" กับ "คนที่เรารัก" ผมชอบที่จะไปพบเจออะไรใหม่ๆ ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และนั่นก็ทำให้ผมเกิดไอเดียในการทำงาน
อ่านมาถึงบรรทัดสุดท้าย พี่แคมปัส ไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่า การนำทัศนคติที่ดีของ "ตะวัน เทวอักษร" แห่งค่ายหนังสืออักษรเจริญทัศน์...ไปใช้ต่อไป.