ผ่านไปแล้วหยกๆ กับการประชุม South East Asia Music Director ของกลุ่มประเทศอาเซียนเมื่อเดือนที่ผ่านมา ปีนี้จัดยิ่งใหญ่ที่มหิดลสิทธาคาร โดยมี รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข เป็นหัวหอกสำคัญ

ทั้งนี้ รศ.ดร.สุกรี เล่าให้เราฟังว่า การประชุมดังกล่าวมหาวิทยาลัยทางดนตรีกว่า 80 แห่งในอาเซียนเข้าร่วม ซึ่งมีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นเจ้าภาพก่อตั้งมา 10 ปีแล้ว และปีนี้เป็นปีที่ 10 ที่ได้มาประชุมร่วมกัน จากนั้นก็จะเวียนไปประชุมในประเทศต่างๆ ซึ่งมหาวิทยาลัยมหิดลเองก็เป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด เนื่องจากเราพบปัญหาว่า ประเทศที่เขาไม่สามารถจะจัดการประชุมได้ เพราะไม่มีเงิน มันก็มีอยู่หลายประเทศ เราจึงทำตัวเองเป็นพี่ใหญ่จัดตั้งงบประมาณ เพื่อที่จะให้ทุกคนสามารถจัดการประชุมด้วย

ปัญหาของดนตรี

สำหรับเรื่องหลักๆ ของการประชุมคือเรื่องดนตรี ว่าวิทยาลัยหรือคณะดนตรีของแต่ละประเทศ ประสบปัญหาด้านอะไรบ้าง และจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ซึ่งเราจะนำปัญหาเหล่านั้น มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ดนตรีสร้างมิตรภาพ

...

หลังจากเราจัดประชุมมา 10 ปีแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือในทางวัฒนธรรม เราพบว่า ประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ เค้ามีทัศนคติที่ไม่ดีกับประเทศไทย เพราะเขาคิดว่าคนไทยเอาเปรียบเขา ทุกประเทศรอบตัวเรา เขารู้สึกเกลียดเรา ซึ่งคนไทยก็ควรจะรู้ตัวไว้ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องดนตรีมันสร้างมิตรภาพได้ จนในที่สุดหลังจากเราเล่นดนตรีด้วยกัน มันทำให้เราเป็นมิตรกัน รักกัน ในส่วนของคนดนตรี เขายิ่งรักเรามาก 

บำบัดความเกลียดชัง

เราได้เป็นเจ้าภาพ 4 ใน 10 ครั้ง จริงๆ มันก็เป็นการอวดศักยภาพและความเป็นเลิศของวิทยาลัยดนตรีของเรา ซึ่งมหาวิทยาลัยในไทยที่เปิดสอนดนตรีมีประมาณ 50 มหาวิทยาลัย ก็ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ซึ่งทำให้เรารู้เขารู้เรามากขึ้น และใช้ดนตรีบำบัดความเกลียดชัง เพราะความเกลียดชังไม่ช่วยอะไร แต่ดนตรีไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีเขตแดน พอเราเล่นดนตรีไทย ลาวก็บอกว่านั่นดนตรีเรา กัมพูชาก็บอกนั่นดนตรีเรา ซึ่งจริงๆ แล้ว ทั้งเราและประเทศเพื่อนบ้านก็มาจากรากเหง้าเดียวกัน

มุมมองประเทศเพื่อนบ้าน

มุมมองเขาก็เปลี่ยนไป เพราะเขาก็ไม่คิดว่าประเทศไทยจะเจริญขนาดนี้ในเรื่องของดนตรี เขาอาจจะเคยมาไทย แต่ไม่เคยเข้ามาอยู่ตรงจุดนี้ เพราะส่วนใหญ่นักดนตรีเขาจะมองยุโรปมองอเมริกามากกว่า สิงคโปร์เขาไม่ได้คิดว่าประเทศไทยจะมีสิ่งนี้ เขาก็ถือตัวเองว่า เขาก็เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ในยุโรป แต่ตอนนี้ในอาเซียน เรื่องดนตรีเราก็เป็นเนื้อเดียวกัน คุยเป็นเนื้อเดียวกันมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน

5 ภาษาสอนดนตรี

ในอนาคต นักเรียนเด็กจะสามารถไปเล่นดนตรี หรือไปสอนดนตรีที่ประเทศเพื่อนบ้านได้สบาย เพราะว่าเด็กของเราควรจะพูดได้สัก 5 ภาษา 1. ภาษาแม่คือภาษาไทย 2. ภาษาอังกฤษคือภาษานานาชาติและวิชาการ 3. ภาษาเทคโนโลยี เช่น ยูทูบ มีเดียต่างๆ 4. ภาษาดนตรี ศิลปะ และรสนิยม และภาษาสุดท้าย 5. คือภาษาทำมาหากิน ไว้สำหรับการที่เราจะนำไปประกอบอาชีพในประเทศต่างๆ ที่เราทำงาน

อดีตคือ...ฟิลิปปินส์

เมื่อก่อนนักดนตรีในบ้านเรามาจากฟิลิปปินส์เป็นหลัก แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเราดีกว่าไปแล้ว ซึ่งในปี 2540 นักดนตรีต่างประเทศที่อยู่ในไทยมีมากกว่า 3 หมื่นคน ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง นักดนตรี 1 คน ได้ค่าจ้าง 1 แสนบาท ทำงานอยู่ในโรงแรมชั้นหนึ่ง แล้วทั้งนักดนตรี 3 หมื่นคน มูลค่าจะเป็นเท่าไร ซึ่งเหล่านี้มันเป็นตัวเลขที่เรามองไม่เห็น

...

ปัจจุบันคือ...คนไทย

ตอนนี้หน้าที่ผม คือ สร้างคนไทยมาทดแทนส่วนนี้ได้หรือไม่ แล้วถ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีโรงแรมชั้นหนึ่ง 500 โรงแรมแล้ว ถ้าแต่ละโรงแรมต้องการนักดนตรี 10 คน รวมแล้วก็ 5 หมื่นคน แล้วใครจะเป็นคนผลิตนักดนตรีเหล่านั้น นี่คือสิ่งที่ผมคิดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งวันนี้ก็เห็นผลแล้ว จะเห็นได้จากโชว์ของเรา มีฝรั่งแค่ 25% ที่เหลือคือคนไทยหมด ซึ่งเราภูมิใจในจุดนี้ ซึ่งทุกวันนี้ผมก็หารายได้จากการจัดคอนเสิร์ตวงดนตรี ซึ่งคนซื้อก็ได้มาจากการบอกปากต่อปาก เพราะเราอยากให้เขารู้สึกว่า...งานดีจริงๆ ให้เขารู้สึกจริงๆ แล้วบอกต่อเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมีจิตวิญญาณและมันมีบารมีในตัวเอง

กำลังทำอะไร?

ตอนนี้เรากำลังจะทำพิพิธภัณฑ์ เป็นพิพิธภัณฑ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในความกว้าง 32,000 ตารางเมตร ความสูง 7 ชั้น ยังทำอยู่เรื่อยๆ เพราะผมมีความหวังว่าชีวิตของสังคมไทยน่าจะดีกว่านี้ เราก็สร้างให้เขาดูเป็นตัวอย่าง เพราะสังคมไทยขาดมนุษย์ตัวอย่าง แต่ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นตัวอย่างนะ ผมเพียงแต่อวดว่า ถ้าคนเราไม่หยุดทำเพื่อสาธารณะ คุณก็ย่อมเห็นว่ามันดี ถ้าไม่ดี มันก็จะอยู่ไม่ได้ด้วยตัวมันเอง แล้วถ้ามันมีคนทำดีสัก 10 คน 20 คน 100 คน ความดีก็จะเต็มไปหมด

...

ดนตรีคือของสาธารณะ ทำไมไม่รู้จักดูของดี...บ้านตัวเอง

ถ้าถามว่าที่ผมทำไปอาจารย์ขออนุญาตหรือเปล่า งั้นผมถามกลับว่า คนทำดีต้องขออนุญาต ทำไมทีคนทำชั่ว ไม่เห็นต้องขออนุญาตเลย คนไทยชอบที่จะไปดูของดีไปดู ยุโรป ไปดูญี่ปุ่น ไปดูอเมริกา แต่ไม่รู้จักของดีในบ้านตัวเอง ตอนนี้คนไทยเริ่มมองเห็น และเริ่มกลับมาสู่สิ่งที่เป็นอยู่ เราสามารถนำอดีตมารับใช้ปัจจุบันและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ ถ้าเทียบเป็นดนตรี ดนตรีไม่มีกาลเวลา ไม่มีพรมแดน ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีศาสนา เพราะดนตรีคือของสาธารณะ...ใครก็หยิบจับได้

ไม่เจอกันนานเท่าไร รศ.ดร.สุกรี ก็ไม่เคยหยุดยิ่ง มุ่งมั่นในงานดนตรีอยู่ตลอดเวลา และยิ่งกว่านั้น...คือความพยายามที่ไม่เคยมีถอย สำหรับครูหัวใจดนตรีคนนี้ !!