จากบทความครั้งที่แล้ว เราได้รู้จักสาเหตุและอาการของ “โรคย้ำคิดย้ำทำ” กันไปแล้ว (“ย้ำคิดย้ำทำ”...โรคนี้มีอยู่จริง (ตอน 1)) ครั้งนี้เราจะมาทราบถึงผลกระทบของโรค แนวทางการรักษา และการดูแลผู้ป่วยกันต่อค่ะ
ผลกระทบของโรค
แม้ว่า “โรคย้ำคิดย้ำทำ” อาจมีความรุนแรงมากน้อยต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย แต่เมื่อใดที่อาการของโรคกำเริบก็จะส่งผลต่างๆ ต่อชีวิตของผู้ป่วยหลายประการ อาทิ
@ เวลา ทำให้เสียเวลาไปกับการทำกิจกรรมซ้ำๆ เช่น ผู้ป่วยจะต้องตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อมาทำการกระทำที่ย้ำทำ เช่น ล้างมือ จัดของ เป็นต้น
@ เงินทอง ต้องเสียเงินไปกับข้าวของต่างๆ เช่น การล้างมือบ่อยๆ จะทำให้สิ้นเปลืองสบู่ไปมากกว่าคนทั่วไป รวมถึงค่าน้ำที่เสียไปมากกว่าปกติ การใช้ถุงมือหนังครั้งเดียวแล้วทิ้ง เพราะคิดว่ามันสกปรกแล้ว ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ
@ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนในครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน เพราะมัวแต่ไปทำกิจกรรมย้ำคิดย้ำทำต่างๆ ของตนเองมากเกินไป
@ การเรียน/การงาน ถ้ามีความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างเรียนหรือทำงาน ก็จะทำให้เสียสมาธิ และไม่สามารถเรียน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น
การรักษา มี 2 แนวทาง
การรักษาด้วยยา ผู้ป่วยจะได้รับยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบเซโรโตนินเป็นหลัก ยากลุ่มนี้เป็นยาต้านเศร้า โดยในผู้ป่วยกลุ่มโรคย้ำคิดย้ำทำมักต้องใช้ยาในขนาดที่สูงกว่าคนเป็นโรคซึมเศร้า
ยากลุ่มนี้ก็ได้แก่ fluoxetine, fluvoxamine, paroxetine, sertraline, escitalopram, clomipramine
การรักษาด้วยจิตบำบัด ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
พฤติกรรมบำบัด เป็นการฝึกให้ผู้ป่วยเผชิญกับสิ่งที่ทำให้กังวล และพยายามไม่ให้มีการตอบสนองด้วยการกระทำแบบเดิมๆ จะทำให้ผู้ป่วยเกิดการเรียนรู้ว่าความกังวลดังกล่าวสามารถลดลงได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไร เช่น รู้สึกว่ามือสกปรก ก็ไม่จำเป็นต้องไปล้างมือทันที
การบำบัดด้วยการรู้คิด เป็นการปรับเปลี่ยนความคิดหรือความเชื่อที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง โดยการสร้างความเชื่อ ความคิดใหม่ๆ และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการตอบสนองต่อความคิดความเชื่อนั้น
...
คนรอบข้างควรปฏิบัติตัวอย่างไร
การรักษา “โรคย้ำคิดย้ำทำ” จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องเกิดจากความร่วมมือของหลายๆ ฝ่าย ทั้งตัวผู้ป่วย ญาติ และคนใกล้ชิด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนในครอบครัวควรทำ
- ไม่ให้ความมั่นใจกับผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยถามคำถามที่มาจากอาการของโรค เช่น มือเขาสะอาดหรือยัง ญาติควรบอกผู้ป่วยด้วยวาจาที่สุภาพและท่าทีที่สงบนิ่งว่าคำถามนี้มาจากอาการของโรค

- ให้กำลังใจ เพื่อให้ผู้ป่วยกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมซ้ำๆ เช่น เก่งมากเลยที่สามารถเผชิญกับความกังวลได้, วันนี้ล้างมือแค่ 1 ครั้งเอง สุดยอดมากๆ
- ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดความอยากจัดการปัญหา โดยไม่ทำให้เขารู้สึกกดดัน
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการพูดให้ผู้ป่วยหยุดการทำกิจกรรมซ้ำๆ หรือขัดขวางโดยตรง เช่น เอาของที่ผู้ป่วยต้องใช้ไปซ่อน เพราะอาจทำให้สัมพันธภาพระหว่างกันแย่ลงไปอีก
“โรคย้ำคิดย้ำทำ” จึงเป็นอีกหนึ่งโรคที่หากเกิดขึ้นกับใครแล้วก็จะส่งผลต่อการเรียน การทำงานของบุคคลนั้น หากคุณมีพฤติกรรมหรือมีความคิดซ้ำๆ จนรบกวนต่อการดำเนินชีวิต หรือสงสัยว่าตนเองมีอาการของโรคนี้หรือไม่ ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อจะได้วางแผนการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และได้ผลดีในการรักษา
-------------------------------------------------------
แหล่งข้อมูล
ผศ.พญ.ธนิตา ตันตระรุ่งโรจน์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอขอบคุณ : ภาพประกอบจาก https://pixabay.com/