ที่สุดของบ้าน!! โฮมมี่ ขอยกให้หลังนี้ บ้านของ "เมฆ-เกรียงไกร กาญจนะโภคิน" เจ้าพ่อครีเอทีฟแห่งเมืองไทย ใครไม่รู้จัก...มาเลยวันนี้เราจะแนะนำตัวผู้ชายคนนี้อย่างเป็นทางการ แถมสุดเซอร์ไพรส์ โฮมมี่ เป็นคนแรกที่ได้เปิด "บ้าน" หลังสวยหลังนี้ โอ้ว...นักคิดครีเอทีฟคนดัง บ้านจะต้องสวยเว่อร์ๆ แน่นอน!!

...และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ความสวยของบ้านหลังนี้ อาจไม่เทียบเท่าคฤหาสน์หลังไหน แต่คำว่า "บ้าน" มันมีอะไรซ่อนอยู่ในความสวยงามอีกมากมาย ผ่านนักคิดนักวางแผนคนนี้ โฮมมี่ ว่าบ้านหลังนี้ตอบโจทย์...คนอยากมีบ้านที่ได้ดั่งใจอย่างที่สุด เอาเป็นน่าอยู่มากกว่าหลังไหนๆ ก็แล้วกัน แถมยังสอดแทรกแนวคิด หลักการมากมาย ถ้าคุณอยากมีบ้าน หรือกำลังจะสร้างบ้านของตัวเอง คุณต้องอ่านบทความนี้...เชื่อโฮมมี่!!!

"เกรียงไกร กาญจนะโภคิน" เจ้าพ่ออีเวนต์แห่งประเทศไทย หรือจะบอกว่าเป็นนักคิด นักครีเอทีฟระดับโลก ก็คงไม่ผิดเพี้ยน เพราะบริษัทอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ของเขาติดอันดับ 7 ของโลก ในการเป็นผู้นำการตลาดเชิงสร้างสรรค์ รับหน้าที่เป็นบริษัทแบรนดิ้ง บริษัทอีเวนต์ บริษัทการตลาด เอาง่ายๆ ไม่ว่าจะงาน World Expo งานคอนเสิร์ตระดับโลกอย่าง Tomorrow Land เขาก็เป็นผู้ผลักดันให้มาจัดในไทย นอกจากนี้ยังมีผลงานประจักษ์ต่อเนื่อง ทั้งในไทยและประเทศต่างๆ อย่างบ้านใกล้เรือนเคียง ก็มีงาน Hoi An Light Festival 2017 งาน Myanmar Countdown 2013-2014 หรือจะงาน Cambodia Architect & Decor 2017

...

โอ๊ย...เรื่องความสามารถพักไว้ก่อน เพราะเล่า 3 วันก็ไม่จบ เราไปฟังเรื่องราวของ "บ้าน" กันดีกว่า ซึ่งคุณเกรียงไกร เริ่มเล่าให้ฟังว่า...

อาณาเขตรอบอาณาจักร

อย่างที่รู้กันที่ดินย่านสุขุมวิทหายากมาก ตอนนั้นผมหาได้ 300 ตารางวา แต่ก็นานมากแล้ว ก็เลยตัดสินใจซื้อเลย ราคาก็ตกตารางวาละ 70,000 บาท ส่วนตอนนี้ราคาเท่าไหร่ ไม่ต้องถามนะ สำหรับตัวบ้าน เราปลูกบ้านเต็มพื้นที่เลย เพื่อให้ได้ใช้ฟังก์ชั่นในแบบที่เราต้องการ ซึ่งสถาปนิกก็จัดให้ เราเลยได้ใช้พื้นที่เต็มทั้งหมด จะคงเหลือแค่พื้นที่สวนอยู่นิดหน่อยเท่านั้น 

เฟอร์เฟกต์!!

ผมว่า...ทุกอย่างมันก็ลงตัวมากๆ มันได้ดั่งใจจริงๆ เพราะเราคิดมาดีแล้ว คิดมาลงตัวแล้ว ตอนพอซื้อที่เสร็จ ก็ออกแบบอยู่ 2 ปี เชื่อมั้ย? การสร้างบ้านหลังนี้โชคดีมากๆ เราก็ไม่ได้ทุบหรือแก้ไขอะไรเลย คือได้ตามแบบทุกอย่าง ผมว่าเพราะเราชัดเจนมาตั้งแต่แรก

คอนเซปต์บ้าน

ถ้าพูดถึงคอนเซปต์ ผมนึกถึงบ้านไทยจริงๆ ที่มีบันไดขึ้น มีชาน และมีส่วนต่างๆ เป็นห้องเป็นครัว ก็คอนเซปต์นั้นเลย เพียงแต่เอาคอนเซปต์ของบ้านไทยเป็นแบบหมู่เรือน เอามาประยุกต์ให้มันเป็นโมเดิร์น แต่ก็ยังคงความเป็นไทยอยู่

สไตล์โมเดิร์น

คนออกแบบเขาก็ถามว่า เราชอบอะไร ผมบอก...ผมชอบโมเดิร์น แต่ต้องเป็นโมเดิร์นที่ไม่เหมือนคนอื่น เพราะแบบนั้นใครๆ ก็มี มันต้องเป็นแบบที่เราอยากได้จริงๆ นั่นคือต้องมีความเป็นไทยอยู่ในบ้านด้วย คอนเซปต์ก็เลย เป็นบ้านโมเดิร์นแบบไทยๆ คือมีศาลาไทยอยู่บนโมเดิร์น

ฟังแล้วหลายคนอาจจะงงๆ ไม่ต้องแปลกใจ โฮมมี่ ก็งงเช่นกัน! ไปฟังคุณเมฆเล่าต่อ กำลังสนุกเชียว

ยกมาจากหลวงพระบาง

ผมจะยกวัดที่เวียงจันทน์ ที่หลวงพระบางมาไว้ที่บ้าน เพราะถ้าเป็นศาลาไทยแบบภาคกลาง มันก็จะตรงๆ แต่ผมชอบศาลาแบบหลวงพระบาง มันจะโค้งแบบล้านนา ดูแล้วมันก็จะแปลกๆ แตกต่างกว่าที่คนอื่นเขาทำกัน ซึ่งสุดท้ายเขาก็ทำให้เข้ากับเหลี่ยมของบ้าน มันก็ลงตัวมากๆ สีดำกับขาว แต่ก็มีเอาไม้เข้ามาเบรก

วัสดุที่ใช้

เราคุยกับสถาปนิกเยอะมาก คุยกันถึงเรื่องวัสดุที่นำมาใช้ ก็ต้องมีปูน หินภูเขา และก็ไม้ มันก็ไม่ค่อยเหมือนบ้านสมัยใหม่ ที่จะเป็นปูนขัด ซึ่งก็ได้ความลงตัวมากๆ

...

ตัวบ้าน 3 ชั้น

บ้านหลังนี้มี 3 ชั้น ชั้นแรกก็มีลานจอดรถ สวนเล็กๆ 2 ข้าง บ่อปลาคาร์ฟ ห้องอาหารเช้ากลางสวน อารมณ์ประมาณไม่ต้องอยู่ห้องแอร์ตลอดเวลา ผมชอบแบบนี้ ให้บ้านโล่งๆ แต่เราที่จะออกแบบให้ได้ใช้ครบทุกฟังก์ชั่นของบ้าน

ชั้นที่ 2 

บริเวณชั้น 2 เป็นห้องรับแขกจริงๆ คือมีห้องทำงาน ห้องเปียโน ห้องฟิตเนส ห้องอาหาร และศาลารับแขก ซึ่งเวลาแขกมา ก็สามารถเดินขึ้นมาจากบันได แล้วเข้ามาก็จะอยู่ในโซนนี้ นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำอีกด้วย โซนที่มีความเป็นส่วนตัวจริงๆ ก็คือชั้น 3 ที่มีห้องนั่งเล่นและห้องนอน

ศาลารับแขก

อย่างห้องนี้รับแขกอยู่คนแรกและคนเดียว นั่นคือท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน ท่านได้ใช้อยู่คนเดียว แล้วนี่ก็มาไทยรัฐเลย (โอ๊ย...โฮมมี่กราบงามๆ) คือเราก็ไม่ค่อยได้รับแขก หรือถ้ารับแขกก็ไปนั่งทานข้าวเลย หรือไม่ส่วนใหญ่ก็จะนั่งอยู่ตรงโต๊ะกาแฟ 

สระว่ายน้ำ ส่วนตัวสูง

อีกอันที่ทำให้เรามีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ก็คือการเอาสระว่ายน้ำขึ้นมาอยู่ชั้น 2 ข้อดีคือ ขณะที่เราเล่นน้ำ จะไม่มีใครเห็น และด้วยบ้านเรามาสร้างทีหลัง เราก็จะรู้ว่าบ้านข้างๆ เขาอยู่ตรงนี้ เราก็จะหาอะไรมาบัง เพราะฉะนั้นความเป็นส่วนตัวจะสูงมาก พอมีความเป็นส่วนตัวสูง การดูแลก็จะง่าย พวกปั๊มก็ไม่ต้องไปอยู่ใต้ดิน ก็ขึ้นมาอยู่ชั้น 1 เพราะทุกอย่างมันขึ้นมาอยู่ชั้น 2 หมด การดูแลสระจึงง่ายมาก แถมชั้น 2 ลมเย็นด้วย

บานเฟี๊ยม

บ้านเราไม่ได้มีพื้นที่เยอะ แต่บ้านข้างเคียงเขามีที่เยอะ มีต้นไม้เยอะ เราก็อาศัยความเขียวจากเขา แต่ที่นี้จะทำยังไง ถ้าเราอยากได้ความเป็นส่วนตัวบริเวณชั้น 2 และไม่อยากเห็นต้นไม้แล้ว เราก็ปิดบานเฟี๊ยมซะ ผมชอบนะ มันแค่คิดง่ายๆ การเอาบานเฟี๊ยมมาไว้ข้างสระว่ายน้ำ คือถ้าเรามองว่าอยากได้ลม เราก็เปิดช่องลมที่บานเฟี๊ยมแทน อยากเปิดก็เปิด อยากปิดก็ปิด

พื้นที่เล็กๆ

สวน
เป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยได้ลงมาเท่าไหร่ เพราะว่าส่วนใหญ่คือออกแต่เช้า กลับก็ค่ำแล้ว ก็เลยไม่ค่อยได้ลงมาเท่าไหร่ แต่ก็เป็นพื้นที่ที่พยายามให้มีสีเขียวๆ ไว้หน่อย คือตอนออกแบบต้องขอชมสถาปนิก ที่เขาดูทิศทางลม ที่สำคัญคือถ้ามองจากออฟฟิศลงมา ถ้าเรานั่งอยู่ตรงนี้ก็จะมองไม่เห็น แล้วก็เราก็พยายามให้ตึกเราเขียวด้วยการปลูกต้นไม้เลื้อย และข้อดีของการมีบ้านหลายๆ มุมคือ เบื่อมุมนี้ก็เดินไปตรงนั้น เบื่อมุมนั้นก็เดินไปมุมนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกมุม อย่างมุมฟิตเนส มองลงมาก็เห็นสวน

พลังงานกับการออกแบบบ้าน

...

จริงๆ แล้วส่วนที่สำคัญของการสร้างบ้าน คือการดูทิศทาง "ลม" กับ "แดด" หน้าบ้านคือทิศตะวันออก ดังนั้นความท้าทายของบ้านหลังนี้ คือออฟฟิศอินเด็กซ์ที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งพนักงานที่บริษัทจะเห็นเราตลอดเวลา ตอนออกแบบเลยเอาตึกข้างหลังมาเป็นกำแพง 3 ชั้นเพื่อไม่ให้พนักงานเห็น แล้วเราก็ได้ข้อดีคือ บ่าย 3 บ่าย 4 ไปแล้ว ตึกอินเด็กซ์สูง 6 ชั้น มันจะค่อยๆ บังแดด ขณะที่บ้านอื่นบ่าย 3 แดดยังจะร้อน แต่บ้านผมนั้นร่มแล้ว

คิดจะมีบ้าน...ดั่งใจ

ผมว่าเจ้าของบ้านต้องเป็นคนมีเหตุมีผล แล้วเราจะได้ทุกอย่างอย่างที่เราอยากได้ หลังนี้ก็เป็นบ้านที่มันใช่ที่สุด เรื่องบางเรื่องคุยกับผู้ออกแบบ ก็ไม่ตรงกันนะ แต่เราอาศัยแลกเปลี่ยนความคิดและความต้องการกัน มันจึงลงตัว นี่อย่างสไตล์โมเดิร์นก็เช่นกัน ผมไม่ยอมที่จะโมเดิร์นสุดๆ นะ คือเราก็ขอเบรกไว้เยอะเหมือนกัน เพราะผมมองว่า ถ้าเราโมเดิร์นสุดๆ ไม่นานเราก็จะเบื่อ 

บ้านนะ...ไม่ใช่โรงแรม จงคิดยาวๆ

มันก็มีหลายๆ อย่างที่เรารู้สึกว่า มันไม่ได้ เพราะว่ามันก็มีเหตุผล อย่างเรื่องของฟังก์ชั่นที่มันจำเป็นต้องมี...อย่างนี้ จริงๆ ตอนแรกคุยกันว่า สระว่ายน้ำสีดำไหม คือเราทำบ้าน มันไม่เหมือนโรงแรม โรงแรมอยู่สวย มีสีสัน ถ่ายรูป นอน 2-3 คืนกลับ แต่บ้านมันคืออยู่ยาว พอบ้านอยู่ยาว เราต้องคิดถึงตอนเราแก่ด้วย หรืออย่างสถาปนิกบอกว่า สระว่ายน้ำต้องมีขอบสระสูง ถึงจะสวย ผมมานั่งคิด ถ้าแก่ๆ แล้ว จะยกขาข้ามไหวไหม เพราะบางอย่างถูกใจหมด ได้ทุกอย่าง แต่ไม่ได้มองอนาคตเลย มันก็ไม่ใช่ อย่างบ้านนี้ผมก็ใส่ลิฟต์นะ ไม่ได้เว่อร์นะ แต่คิดว่าเวลาแก่ และเวลาป่วย คงเดินขึ้นลงไม่ได้

สไตล์การตกแต่ง

ถามว่าตกแต่งแบบไหน ต้องบอกว่ามันมีความเป็นไทย และความเป็นเอเชียนอยู่ คือต้องบอกว่า เราก็ไม่ได้เอาของที่เราชอบมายัดใส่บ้าน บางคนซื้อทุกอย่างแล้วไว้ที่ทางเดิน คือมันไม่เข้ากับบ้าน ก็อย่าไปซื้อมัน ผมไม่ชอบบ้านรก อย่างบ้านหลังนี้ ก็ไม่ได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใส่ให้มันจบทีเดียวด้วย ก็ทยอยซื้อไป ผมว่ามันสนุกกว่าการไปซื้อมาเป็นเซตทีเดียว เราค่อยๆ หา ค่อยเลือกที่มันเข้ากับบ้าน แล้วก็ถูกใจเรา ทุกวันนี้ก็ยังซื้ออยู่เลย นี่ห้องรับแขกก็ยังไม่เสร็จ

แพง-ยากสุดของบ้าน

แพงที่สุดด้วย ก็ต้องยกให้ศาลาไทยหลังนี้ เพราะตัวเรือนเป็นไม้สักทอง แต่โครงข้างในเป็นเหล็ก ส่วนยากที่สุดก็ยังเรือนศาลาไทยหลังนี้ พวกนี้มันเป็นศาสตร์มากๆ หลังคาทำไมต้องยาวออกไป เพื่อไม่ให้น้ำมันย้อนกลับมา ทำเสร็จแล้วก็มาแก้นิดหน่อย ใช้กระจกมาช่วยเพื่อให้แสงเข้า แถมยังต้องมีเชือกมาถึงเพื่อกันนกบินเข้ามาแล้ว

ราคาบ้าน

ราคารวมๆ ก็ประมาณ 100 พูดแค่นี้นะ แต่ไม่รวมตกแต่ง เพราะทุกวันนี้ก็ยังไม่หยุดเลย แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อของเก่าของแพง ผมเป็นคนที่ซื้ออะไรก็ตามมีเหตุผล ว่าซื้อเพราะอะไร แล้วรู้ด้วยว่าต้องว่างที่ไหน พญานาคก็มาจากเชียงใหม่ แล้วเราก็รู้สึกว่าโคตรเจ๋งเลยว่ะ แล้วก็งานแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อย คือต้องบอกว่าไม่ค่อยเหมือนใคร ไม่ชอบเหมือนคนอื่น และก็ไม่ชอบให้คนอื่นเหมือน เราก็เลยพยายามทำบ้านให้ไม่ค่อยเหมือนใคร ซึ่งบ้านแบบนี้เดี๋ยวนี้ก็เกลื่อนเลย แต่ถ้าแบบล้านนาไทย รับรองได้เลยว่าไม่มีแน่นอน

แยกอาณาเขต พื้นที่ส่วนตัว

มันก็เป็นเอกลักษณ์ หรือบ้านที่เอาสระน้ำขึ้นมาไว้ชั้น 2 ก็ไม่ค่อยมี ซึ่งการดูแลทำความสะอาดง่ายด้วย แล้วถ้าคนมาก็ไม่รู้ว่านี่คือชั้น 2 เลยนะ แต่จริงๆ แล้วฟังก์ชั่นมันลงตัวมากๆ ในส่วนของข้างล่างก็จะเป็นเครื่องต่างๆ และเราก็จะได้ความเป็นส่วนตัวมาก คือแทบจะไม่มีช่างขึ้นมายุ่งกับเราเลย เพราะทุกอย่างมันไปอยู่ข้างล่างหมด ระบบไฟฟ้าก็อยู่ข้างล่าง ทุกอย่างอยู่ข้างล่างหมด ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องเปิดบ้านให้ช่างเข้ามา อย่างสระนี้ก็จะทำอย่างเดียว คือดูดผงออกไปแค่นั้นเอง

รีสอร์ตที่ได้พักทุกวัน

ถึงบอกว่าบ้านพอมันมีความเป็นส่วนตัว เราจะมีความรู้สึกว่ามันคือบ้านจริงๆ ถ้าบ้านที่ออกจากห้องนอนจะแต่งตัวยังไงดี มันก็จะรู้สึกว่าต้องระวังตัว คือถ้าเป็นอย่างนี้ชั้น 3 เราอยู่เองหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ลงมาถ้ายังไม่เปิดบ้าน ก็ไม่มีใครเข้ามาชั้น 2 อีก มันก็กลายเป็นว่าเรามีความเป็นส่วนตัวสูงมาก เราก็จะรู้เลยว่ามีอะไรที่ผิดปกติ คือเราต้องบอกก่อนว่า เราทำงานเจอคนทั้งวันเวลากลับบ้านมันคือเวลาพักผ่อน คนส่วนใหญ่บอกเหมือนรีสอร์ตเลย มันก็ควรจะเป็นรีสอร์ตที่ได้พัก แล้วบางบ้านนี่เป็นโชว์รูม เนียบ สวย เอาไว้โชว์ อันนี้เป็นบ้าน สบายๆ มีรกบ้าง

สวยงาม ฟังก์ชั่นลงตัว

มันก็ต้องมองหลายๆ มิติ ไม่ใช่แค่สวยงามอย่างเดียว เราต้องดูฟังก์ชั่นด้วย อย่างที่บอกถ้าเราทำงานกับสถาปนิกเยอะ เราก็ต้องคิดเผื่อทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว มันก็จะรอบคอบขึ้น แล้วเวลาเราอยู่ มันก็ต้องสำคัญที่สุด บ้านมันต้องอยู่แล้วสบาย อันไหนไม่ใช้ก็ปิด มันก็ไม่ต้องทำความสะอาด เพราะฉะนั้นมันก็จะง่ายๆ คิดง่ายๆ สำหรับบ้านหลังนี้


นิยามคำว่าบ้าน

มันคือสถานที่ ที่ทุกครั้งกลับมาก็สบาย มันคือรีสอร์ต ที่เรามีได้ทุกวัน โดยที่เราไม่ต้องถึงเวลาพักก็ต้องเดินทาง บ้านมันควรจะเป็นอย่างนี้ แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่า เวลาเรากลับมา เราได้พักผ่อนจริงๆ ที่ๆ เรามีความเป็นตัวตน ไม่ต้องระวังตัว ไม่อย่างนั้นเราอยู่บ้านแล้ว ก็ยังต้องระวังตัวอีกเหรอ มันก็ไม่ใช่ สำหรับบ้านหลังนี้ความเป็นนิยามที่ใช่ที่สุดก็คือ

"กลับมาแล้วได้เป็นตัวตนของตัวเองจริงๆ ไม่ต้องระวังตัว ได้พักผ่อนจริงๆ มีความรู้สึกว่าบ้านมันก็สะท้อนตัวตน เหมือนเสื้อผ้าก็สะท้อนตัวตนเรา เพราะบางคนก็อยากได้บ้านแบบนู้นแบบนี้ อย่างตอนที่เราออกแบบเรา ผมก็อยากได้บ้านที่มันสะท้อนตัวตนของเรา กับอีกอย่างหนึ่งก็คือต้องอยู่สบาย ไม่ต้องระวังตัว อันนี้สำคัญ ทุกสิ่งทุกอย่างให้มันตอบโจทย์ชีวิตของเราจริงๆ"

เก็บตก! ของมีค่าภายในบ้าน

ลูกสุดรัก

น้องหมาสุดรัก "บิ๊กเค-บอมเบ
" รักมากๆ คู่นี้ วันหยุดก็จะอาบน้ำให้เขา เล่นน้ำด้วยกันทุกอาทิตย์ ยิ่งพี่บิ๊กชอบเล่นน้ำมาก บอมเบไม่ค่อยเล่นน้ำ บ่อปลานี่คือของเขา สระว่ายน้ำนี่ก็คือของบิ๊กเคเข้า นิสัยของทั้ง 2 ตัวไม่เหมือนกันเลย บอมเบจะเป็นระเบียบกว่าพี่บิ๊ก พี่บิ๊กจะเอาแต่ใจ บอมเบก็จะสั่งให้ทำอะไรก็ทำ พี่บิ๊กจะเอาแต่ใจมากๆ แต่เป็นหมาคุณหนูทั้งคู่ คือต้องดูแลเขา พี่บิ๊กเรียนเยอะมาก จบปริญญาตรีมาเลย แต่ไม่ได้เรื่องเลย แต่น้องไม่ได้เรียน แต่เป็นเรื่องเป็นราวกว่าเยอะ ไม่ค่อยได้มีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันเท่าไหร่ 

ห้องอาหาร 

ขออนุญาตอวดอันนี้ เป็นภาพวาดที่ให้ศิลปินเขาวาด ไฮไลต์ที่หลายๆ คนก็ถามว่าวัดที่ไหน แต่จริงๆ แล้วไฮไลต์ก็คือน้องหมา บิ๊กเคกับบอมเบกำลังเห่า ท่าประจำก็คือยกขาแล้วก็เห่า ส่วนอีกอันก็เป็น ชั้นวางของเก่าจากประเทศจีน ไม่รู้ว่าเป็นของสมัยราชวงศ์ไหน แต่มันเข้ากับภาพวาดมาก รูปปั้นเป็นของเขมร ของอินเดีย ก็พยายามหาอะไรที่เป็นเอเชียน คือห้องนี้ก็จะเป็นอะไรที่เต็มไปด้วยเอเชียนมากๆ แม้กระทั่งโต๊ะทานอาหารยาว 5 เมตร นี่ไม้แผ่นเดียว ซึ่งก็ได้มาจากญี่ปุ่น บางชิ้นก็บังเอิญไปได้ที่เชียงใหม่ ส่วนใหญ่ได้จากการเดินทาง คือไปแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อ แต่ก็ได้มา สนุกมากๆ กับการตกแต่งบ้าน ที่มันลงตัว

ปิดท้ายที่ตัวตนของชายคนนี้ เมื่อพูดถึง "อายุกับการทำงาน"  

"
มีคนถามเหมือนกันว่า เมื่อไหร่จะเกษียณ ก็ยังมีอะไรที่อยากทำอีกตั้งเยอะ คิดแล้วอยากทำให้เสร็จด้วยซิ แล้วตอนนี้ก็ยังมีโปรเจกต์ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนแบบว่า งั้นขีดเส้นใต้ไว้ที่ 65 ปีละกัน แล้วค่อยมาดูอีกทีนึง จริงๆ ผมไม่ได้มองว่า ธุรกิจเราต้องใหญ่โตอะไร มีเงินทองเยอะๆ ไม่ได้มองตรงนั้นเลย แต่มองว่าอะไร คือสิ่งที่เราคิดและเราอยากทำให้มันเสร็จ อยากเห็นความสำเร็จของสิ่งที่เราคิด แล้วประสบความสำเร็จ ยิ่งตอนนี้โอกาสมันก็มีเข้ามาเรื่อยๆ เราฝันแล้ว เราก็อยากจะทำฝันของเราให้มันสำเร็จ เพราะฉะนั้นมันก็กลายเป็นความท้าทายใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต แล้วเรารู้สึกว่าเราต้องทำให้มันเสร็จ

นอกเหนือจากนั้นก็เป็นสิ่งที่เราอยากทำขึ้น อยากทำให้ดีกว่านี้ อย่างเวลาที่เราทำงานสวมเสื้อทีมชาติไทย เราก็อยากทำให้มันสำเร็จ ต้องบอกว่าในฐานะคนไทย เวลาได้ทำอะไรให้กับประเทศชาติ มันก็ควรจะทำให้ดีที่สุด ทำให้ชาติอื่นได้เห็น และอย่างน้อยเราก็มีโอกาส มากกว่าที่หลายๆ คนไม่มีโอกาสทำ เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด และทุกครั้งที่ทำงานให้กับประเทศ เราก็จะก้าวผ่านคำว่าธุรกิจทุกที

คือมีหลายคนพูดเหมือนกันว่า เห็นพี่เมฆทำงานอะไร ไม่เห็นคิดเรื่องเงินเลย เงินมาทีหลังทุกครั้งเลย หรือบางทีทำไป ก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเงินไปอยู่ตรงไหน เราก็บอกว่าทำให้มันดีที่สุดไปก่อน เดี๋ยวเงินมันก็มาเอง เงินมันคือสิ่งสุดท้ายเสมอ เรียนหนังสือจบมา ก็ไม่เคยไปขอเงินเดือนใคร ว่าผมต้องการเงินเดือนเท่านี้ พี่ให้มาเท่าไหร่ผมก็ทำ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่า เรามีค่าตัว แต่เราทำให้มันเต็มที่ พองานดี เขากลัวเราออก เขาก็ขึ้นเงินเดือนให้เราเอง แต่ถ้าเราเริ่มต้นแบบค่าตัวอย่างนู้นอย่างนี้ แล้วพอทำไม่ได้ได้อย่างที่เขาคาดหวัง เราก็เริ่มมีค่าตัว ซึ่งมันก็ไม่ใช่ แต่ถ้าเราทำงานด้วยความสุขจริงๆ ถ้างานมันดี เงินมันก็มาเอง ผมให้เงินมันคือสิ่งสุดท้ายเสมอ"

โฮมมี่ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากไปกว่านี้ ให้บทสรุปของ "เกรียงไกร กาญจนะโภคิน" อธิบายแนวคิดที่สะท้อนตัวตน ผ่านบ้านหลังนี้ บ้านเลขที่ ๕๗๒/๒ ของเจ้าพ่อครีเอทีฟเมืองไทย

ใครอยากดูบ้านสวยๆ ติดตามชมได้ที่คลิปในเร็วๆ นี้ มันจะจุใจคุณอย่างแน่นอน.