“การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)” เป็นแนวความคิดเรื่องการดูแลผู้ป่วยแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นมาประมาณ 50 กว่าปีที่แล้วเป็นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษโดย “ซิเซลี ซอนเดอร์ส (Cicely Mary Stode Saunders)” ซึ่งมีความคิดว่า คนไข้ที่ป่วยหนักร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง และอยู่ในระยะของโรคที่ไม่สามารถรักษาได้แล้ว ในสมัยนั้น แพทย์ก็จะแนะนำว่า ให้คนไข้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งเสียชีวิต
แต่ตัวซิเซลี ซอนเดอร์สเองมองว่า ระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนจะเสียชีวิต คนไข้มีความทุกข์ทรมาน ไม่ว่าจะเป็นอาการทางกาย เช่น อาการปวด อาการเหนื่อย หรืออาการรบกวนอื่น ๆ เช่น อาการวิตกกังวล อีกทั้งครอบครัวและคนรอบข้างต้องเห็นภาพของผู้ป่วยที่มีความทรมาน และต้องปรับตัวยอมรับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในเวลาอันใกล้ ก่อนที่คนไข้จะจากไป ซึ่งในยุคนั้น ไม่ได้มีแนวความคิดของการดูแลแบบประคับประคอง หากแต่เน้นการรักษาให้หายขาดเป็นหลัก
ต่อมาแนวคิดด้านการดูแลแบบประคับประคองมีการแพร่หลายมากขึ้นในหลายประเทศ โดยเปลี่ยนแนวคิดของการดูแลว่าจริง ๆ แล้วคนไข้ที่แพทย์มองว่าสิ้นหวังและใกล้จะเสียชีวิต เป็นคนไข้ที่ “ยังมีชีวิต” แพทย์จะทำอย่างไรที่จะดูแลคนไข้ในช่วงระยะท้ายให้มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีในเวลาที่เหลืออยู่
...
เริ่มจากการจัดการอาการรบกวนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวด อาการเหนื่อย รวมถึงมิติอื่น ๆ ของการดูแล เช่น การดูแลด้านจิตใจ การทำให้คนไข้รู้สึกว่าชีวิตยังเป็นของเขา ทำอย่างไรให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับสุขภาพที่เปลี่ยนแปลง และสามารถเลือกได้ว่า ต้องการใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำอะไรให้มีคุณค่าหรือมีความหมายมากที่สุด
นอกจากนี้ คนไข้ยังควรมีสิทธิ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาตัวเองในระยะท้ายของชีวิต ซึ่งการรักษาบางอย่างอาจเป็นเพียงการยื้อชีวิต หรือเมื่อให้การรักษาแล้วก็อาจจะอยู่ในภาวะติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจจนกระทั่งเสียชีวิต ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่คนไข้ต้องการ
ในทางกลับกัน คนไข้อาจจะมีความสุขมากกว่าถ้าได้อยู่ที่บ้าน อยู่กับครอบครัว สามารถใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ อยากจะตื่นกี่โมงก็ได้ อยากจะกินอะไร อยากจะทำบางอย่างที่สำคัญก่อนจะจากไป รวมถึงอยากใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ไหน หรืออาจกล่าวได้ว่าคนไข้เป็นผู้ “ออกแบบ” ได้ว่าชีวิตในช่วงสุดท้ายของตัวเองอยากให้เป็นอย่างไร ภายใต้การสนับสนุนการดูแลจากทีมแพทย์ มากกว่าจะอยู่ในมือแพทย์เป็นผู้ตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามี 4 ด้านที่คนไข้อยากทำก่อนจากไป
- บอกรักหรือแสดงความรักกับคนที่รัก
- ขอบคุณคนรอบข้าง
- ขอโทษคนรอบข้างกับทุกสิ่งที่ผ่านมา
- ให้อภัยทุกคน ซึ่งจะช่วยปล่อยวางความเจ็บปวดในอดีตและทำให้เกิดความสงบ
การดูแลแบบประคับประคอง จึงเป็นการดูแลคนไข้และครอบครัวให้มีช่วงเวลาที่ดีที่สุดในเวลาที่เหลืออยู่ให้ครบทุกมิติจนกระทั่งคนไข้เสียชีวิต นอกจากนั้นทีมพาเลทีฟแคร์ก็ยังติดตามดูแลครอบครัวหลังคนไข้เสียชีวิต ว่าญาติสามารถปรับตัวกับความสูญเสียได้หรือไม่ ในกรณีที่เห็นว่าอาการไม่ดีก็จะมีทีมนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ที่ให้การดูแลด้านจิตใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ ที่โรงพยาบาลรามาธิบดียังจัดกิจกรรมทุก 6 เดือน โดยการเชิญญาติมาร่วมกิจกรรมทำบุญเพื่อร่วมรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับจากไป มีกิจกรรมศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด เพื่อพบปะว่าแต่ละครอบครัวสามารถปรับตัวและดำเนินชีวิตอย่างไรเมื่อคนไข้จากไป
เกณฑ์การดูแลแบบประคับประคองมีอะไรบ้าง
นิยามของการดูแลแบบประคับประคองจะแบ่งคนไข้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
- คนไข้ที่ป่วยด้วยโรคหรือภาวะที่รุนแรงคุกคามต่อชีวิต เช่น อุบัติเหตุที่รุนแรง หรืออาจจะมีภาวะเลือดออกในสมองอยู่ในขั้นที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือการพยากรณ์โรคไม่ดี
- ผู้ป่วยที่ภาวะจำกัดการมีชีวิต อาจจะเป็นโรคอื่น ๆ ที่เข้าสู่ระยะท้ายของโรค เช่น ไตวายเรื้อรัง โรคตับแข็งระยะท้าย โรคหัวใจวายเรื้อรังระยะท้าย เป็นภาวะหรือโรคอะไรก็ตามที่ทำให้คนไข้มีอายุขัยสั้นกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคเหล่านี้ คนไข้ที่แพทย์คิดว่าการพยากรณ์โรคน้อยกว่า 1 ปี ควรได้รับการดูแลแบบประคับประคอง
ผู้ดูแลควรดูแลผู้ป่วยประคับประคองอย่างไร
- ยอมรับว่าคนไข้ป่วยหนัก และอยู่ระยะท้ายของโรค
- เปิดใจรับฟังว่าคนไข้ต้องการอะไร
- ให้การดูแลอาการทางกาย ไม่ว่าอาการปวด เหนื่อย อย่างเพียงพอเหมาะสม ญาติหลายคนจะกลัวกังวลกับการใช้มอร์ฟีน ซึ่งถ้าให้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ตามคำแนะนำของทีมแพทย์จะมีความปลอดภัย และถ้ามีปัญหาการใช้ยาก็ควรปรึกษาทีมแพทย์
- เป็นส่วนสำคัญในการดูแลจิตใจ ญาติจะรู้ว่าคนไข้มีเรื่องอะไรที่ห่วง กังวล หรืออยากทำ ทำให้คนไข้มีโอกาสทำในสิ่งที่เขาห่วงหรือกังวล ซึ่งบางเรื่องอาจจะไม่สามารถทำได้ทันทีภายในระยะเวลาที่คนไข้เหลืออยู่ แต่อย่างน้อยก็ทำให้คนไข้ได้รับรู้ว่ามันสำคัญ และไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไป จะมีใครสักคนที่ทำแทนเขาได้ ทำให้เขาปล่อยวางและวางใจได้ หากจะต้องจากไป
- ทำให้คนไข้สบายใจว่าเราอยู่ได้ในวันที่ไม่มีเขา ทำให้เขาสบายใจ และจากไปอย่างสงบ
...
กรณีที่จะเสียชีวิตที่บ้าน สามารถขอให้แพทย์เจ้าของไข้เขียนข้อมูลเรื่องการเจ็บป่วย ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินการหลังคนไข้เสียชีวิตได้มากขึ้น
ในส่วนของคนทั่วไปที่ตอนนี้ยังสุขภาพแข็งแรงดี ควรวางแผนการดูแลล่วงหน้า เพื่อแสดงเจตจำนงว่าต้องการได้รับการดูแลรักษาแบบใด เพราะในหลาย ๆ ครั้งที่การรักษาทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน และไม่ได้ทำให้หาย แต่เป็นการยื้อชีวิต โดยสามารถกรอกแบบฟอร์มวางแผนการดูแลล่วงหน้าที่คลินิกการวางแผนดูแลล่วงหน้าหรือบางที่เรียกว่าคลินิกเบาใจ
ในแบบฟอร์มวางแผนการดูแลล่วงหน้านี้ สามารถแจ้งความประสงค์กับทีมแพทย์และพยาบาลได้ กรณีที่ป่วยหนักและอยู่ในระยะท้ายของโรค ต้องการหรือไม่ต้องการอะไรบ้าง ซึ่งจะช่วยลดภาระคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือญาติ และตัวคนไข้ก็จะได้รับการดูแลที่สอดคล้องกับความต้องการของเขามากที่สุด
ข้อมูลโดย รศ. นพ.กิติพล นาควิโรจน์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
...