จากตอนที่แล้ว ที่เราแนะนำให้รู้จักกับสาขาวิชา “เวชศาสตร์นิวเคลียร์” ว่าคืออะไร มีจุดเด่นอะไรบ้าง ในตอนที่ 2 นี้ เราจะมาแนะนำให้รู้จักเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจว่ามีอะไรบ้าง
เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจของเวชศาสตร์นิวเคลียร์
สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้สร้างภาพจากสารเภสัชรังสี และเครื่องมืออื่น ๆ ที่อยู่ในเวชศาสตร์นิวเคลียร์
1. กลุ่มเครื่องมือสร้างภาพจากสารเภสัชรังสี
1.1 Gamma Camera / SPECT (Single Photon Emission Computed Tomography) เป็นเครื่องมือหลักในงานเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ใช้ตรวจการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เช่น กระดูก ไต หัวใจ และต่อมไทรอยด์ สามารถสร้างภาพได้ทั้งแบบ 2 มิติ (planar imaging) และ 3 มิติ (SPECT) โดยนิยมใช้สารเภสัชรังสี เช่น เทคนีเชียม-99เอ็ม (Tc-99m) ซึ่งให้คุณภาพของภาพดีและมีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการใช้งานทางคลินิก
...
1.2 PET/CT Scanner (Positron Emission Tomography/Computed Tomography) เป็นเครื่องมือที่ให้ความละเอียดสูง โดยผสานการทำงานของ PET ซึ่งแสดงข้อมูลการทำงานระดับเซลล์ และ CT ซึ่งแสดงรายละเอียดทางกายวิภาคไว้ในเครื่องเดียวกัน ทำให้สามารถประเมินได้ทั้งตำแหน่งของรอยโรค ขนาด ลักษณะทางกายวิภาค และระดับการจับสารของเนื้อเยื่อ เหมาะอย่างยิ่งในการประเมินโรคมะเร็ง การแพร่กระจายของโรค และการติดตามผลการรักษา
2. กลุ่มเครื่องมืออื่น ๆ ที่อยู่ในเวชศาสตร์นิวเคลียร์
2.1 Dual-energy X-ray Absorptiometry (DXA) เป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density, BMD) เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนและประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก รวมถึงใช้ตรวจติดตามหลังการรักษา การตรวจชนิดนี้ ไม่จำเป็นต้องฉีดสารเภสัชรังสีให้กับผู้ป่วย แต่ใช้รังสีเอกซเรย์พลังงานต่ำที่ปล่อยออกมาจากตัวเครื่องโดยตรง เป็นการตรวจที่ใช้เวลาสั้น ให้ปริมาณรังสีต่ำ และมีความแม่นยำสูง
2.2 เครื่องมืออื่น ๆ เช่น เครื่องวัดปริมาณรังสี ระบบกำบังรังสี และระบบควบคุมคุณภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับรังสีในระดับที่เหมาะสมและปลอดภัย
วิธีการตรวจเวชศาสตร์นิวเคลียร์
ขั้นตอนการตรวจในเวชศาสตร์นิวเคลียร์อาจมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอวัยวะหรือระบบที่ต้องการตรวจ อย่างไรก็ตาม สามารถสรุปขั้นตอนโดยรวมได้ดังนี้
การให้สารเภสัชรังสี
แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะให้สารเภสัชรังสีแก่ผู้ป่วย โดยวิธีการอาจเป็นการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ การรับประทาน หรือการสูดดม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของการตรวจ ยกเว้นการตรวจ DXA (Dual-energy X-ray Absorptiometry) ซึ่งไม่ต้องฉีดสารใด ๆ เพราะรังสีเกิดจากเครื่องโดยตรง
ระยะเวลารอให้สารกระจายตัว
โดยส่วนใหญ่ หลังจากได้รับสารจะต้องรอให้สารกระจายไปจับยังอวัยวะเป้าหมายจนกว่าจะถึงเวลาถ่ายภาพ ใช้เวลาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของการตรวจและชนิดของสารที่ใช้ ในระหว่างรอถ่ายภาพจะมีพื้นที่เฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่จัดไว้เพื่อความสะดวกและความปลอดภัย ในการตรวจบางชนิดอาจจะทำการถ่ายภาพทันทีพร้อมกับการฉีดสารเภสัชรังสีโดยไม่มีระยะเวลารอสารกระจายตัว
...
การถ่ายภาพด้วยเครื่องตรวจ
ผู้ป่วยจะนอนบนเตียงตรวจในท่าที่เหมาะสม เครื่องตรวจจะทำการบันทึกภาพการกระจายตัวของสารเภสัชรังสี การตรวจโดยทั่วไปไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ไม่มีเสียงดังรบกวน
ระยะเวลาโดยรวมของการตรวจ
ระยะเวลาในการตรวจจะแตกต่างกันไปตามชนิดของการตรวจและระบบอวัยวะที่ประเมิน บางครั้งอาจมีการถ่ายภาพหลายช่วง ถ้ารวมระยะเวลารอสารกระจายตัว การตรวจบางชนิดอาจนานถึง 4 ชั่วโมงหลังได้สารเภสัชรังสี หรือนัดมาถ่ายภาพหลายวันหลังได้สารเภสัชรังสี โดยการถ่ายภาพแต่ละช่วง อาจใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีหรือนานกว่านั้น แต่มักไม่เกิน 30 นาทีในการตรวจทางคลินิก (สำหรับงานวิจัยอาจถ่ายภาพช่วงเดียวนานถึง 90 นาที)
ข้อปฏิบัติตนหลังการตรวจ
โดยทั่วไป หลังจากการตรวจเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อช่วยให้ร่างกายขับสารเภสัชรังสีออกได้เร็วขึ้น และควรปัสสาวะบ่อยขึ้นเพื่อเร่งการขับสารออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดเด็กเล็กหรือหญิงตั้งครรภ์ในช่วงแรกซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจ หลังตรวจสำหรับผู้ที่ให้นมบุตร แพทย์อาจแนะนำให้หยุดให้นมชั่วคราวในช่วงเวลาที่สารยังตกค้างในน้ำนม และปั๊มน้ำนมทิ้งเพื่อรักษาการผลิตน้ำนมไว้
คำแนะนำก่อนเข้ารับการตรวจ
- ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งหากตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร เพื่อให้แพทย์พิจารณาความจำเป็นของการตรวจและกำหนดมาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม
- ควรเตรียมผลตรวจเดิม เช่น ผลเลือด CT MRI หรือเอกซเรย์ มาให้แพทย์พิจารณาประกอบ
- ในการตรวจบางชนิด อาจต้องงดอาหารหรือยาบางชนิดก่อนตรวจตามระยะเวลาที่กำหนด
- ควรสวมเสื้อผ้าที่สบาย ไม่มีโลหะบริเวณลำตัว เพื่อความสะดวกและความแม่นยำของการตรวจ
...
เวชศาสตร์นิวเคลียร์เป็นสาขาทางรังสีวิทยาที่ใช้สารเภสัชรังสีในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค โดยการตรวจไม่ทำให้เกิดรังสีตกค้างถาวร เนื่องจากสารกัมมันตรังสีจะถูกขับออกตามกลไกการขับสารของร่างกาย ปริมาณรังสีที่ใช้ในการตรวจวินิจฉัยอยู่ในระดับต่ำและอยู่ภายใต้ระบบควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โอกาสเกิดผลข้างเคียงพบได้น้อยมากและมักไม่รุนแรง ดังนั้นผู้ป่วยจึงสามารถเข้ารับการตรวจและการรักษาทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ได้อย่างมั่นใจ
ข้อมูลโดย ผศ. พญ.คนึงนิจ ธรรมนิรัต สาขาวิชาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล