“เวชศาสตร์นิวเคลียร์” คือ สาขาวิชาหนึ่งของรังสีวิทยาที่ใช้สารกัมมันตรังสี ที่เรียกว่า “สารเภสัชรังสี” ในการตรวจหรือรักษาโรค โดยการตรวจเพื่อการวินิจฉัยจะใช้รังสีในปริมาณต่ำมาก ใกล้เคียงกับการตรวจทางรังสีทั่วไป มีความปลอดภัยสูง และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำมาก ส่วนการรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีจะใช้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยแพทย์จะทำการประเมินระหว่างประโยชน์ที่ได้รับและความปลอดภัยของผู้ป่วยก่อนทุกครั้ง

จุดเด่นของเวชศาสตร์นิวเคลียร์ 

ข้อดีสำคัญของเวชศาสตร์นิวเคลียร์ คือ การตรวจที่เน้นดูการทำงานจริงของอวัยวะ และเมื่อนำมาประเมินรวมกับการตรวจภาพทางรังสีอื่น ๆ จะช่วยให้แพทย์เข้าใจสภาพของอวัยวะได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ส่งผลให้การวินิจฉัยมีความครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้น เช่น

  • การตรวจสแกนไต (Renal scan) ไม่ได้ดูเพียงขนาดหรือรูปร่างของไต แต่สามารถประเมินได้ว่า ไตแต่ละข้างทำงานได้ดีเพียงใด
  • การตรวจการไหลเวียนเลือดกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardial perfusion scan) เป็นการตรวจที่ไม่ได้ดูรูปร่างของหัวใจ แต่เพื่อประเมินว่าเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเพียงพอหรือไม่ ทั้งในภาวะพักและขณะกระตุ้นการทำงานของหัวใจ

ด้วยเหตุนี้ เวชศาสตร์นิวเคลียร์จึงช่วยให้ข้อมูลเพื่อวินิจฉัยโรคได้ละเอียดมากขึ้น และเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้น

สารเภสัชรังสี คือ อะไร?

สารเภสัชรังสี คือ สารที่มีการผสมสารกัมมันตรังสีในปริมาณน้อยมากเข้ากับสารเคมี เพื่อให้สารสามารถเดินทางไปจับกับอวัยวะเป้าหมาย เช่น ไต หัวใจ กระดูกหรือไทรอยด์

ในการตรวจวินิจฉัยส่วนใหญ่ จะใช้สารเภสัชรังสีที่ให้รังสีแกมมาหรือรังสีเอ็กซ์ที่มีพลังงานต่ำเป็นหลักและโดยทั่วไปจะใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย มีความปลอดภัยสูง โอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ โดยร่างกายจะค่อย ๆ ขับสารส่วนใหญ่ออกทางระบบขับถ่ายตามธรรมชาติภายในระยะเวลาไม่นาน สารกัมมันตรังสีประเภทนี้ที่ใช้มากที่สุดได้แก่ เทคนีเชี่ยม-99เอ็ม (Tc-99m)

...

สำหรับการตรวจโดยเครื่องมือ PET/CT จะใช้สารเภสัชรังสีที่ปล่อยรังสีโพซิตรอนในปริมาณน้อย มีความปลอดภัยสูง และเป็นการตรวจที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน สารที่ใช้มากที่สุดคือ ฟลูออรีน-18 ฟลูออโรดีออกซีกลูโคส (F-18 FDG) ซึ่งสะท้อนการใช้น้ำตาลของเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งและเซลล์ที่มีการทำงานสูง ร่างกายสามารถขับสารนี้ออกทางไตและปัสสาวะได้ภายในระยะเวลาไม่นาน และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ

กรณีของการรักษาด้วยสารเภสัชรังสี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้รังสีออกฤทธิ์ทำลายเซลล์ที่ผิดปกติหรือไม่พึงประสงค์ เช่น เซลล์มะเร็ง หรือเซลล์ต่อมไทรอยด์ที่ทำงานมากเกินไป โดยเลือกใช้สารเภสัชรังสีที่ปล่อยรังสีเบต้าหรือรังสีแอลฟา ซึ่งมีพลังงานเหมาะสมต่อการทำลายเซลล์เป้าหมาย 

เมื่อเซลล์ได้รับรังสีในปริมาณที่เพียงพอจะทำให้เซลล์สูญเสียความสามารถในการแบ่งตัวและเกิดการตายของเซลล์ การรักษาจะใช้สารเภสัชรังสีในขนาดที่สูงกว่าที่ใช้เพื่อการวินิจฉัย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยแพทย์จะพิจารณาอย่างรอบคอบและประเมินความสมดุลระหว่างประโยชน์ของการรักษาและความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นรายบุคคลก่อนดำเนินการทุกครั้ง สารเภสัชรังสีที่นิยมใช้มากที่สุดในการรักษาคือ ไอโอดีน-131 (I-131) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคของต่อมไทรอยด์และมะเร็งต่อมไทรอยด์บางชนิด

การให้บริการทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์

ด้านการวินิจฉัย

การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ช่วยประเมิน “การทำงานของอวัยวะ” มากกว่าโครงสร้าง ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ตัวอย่างการตรวจที่พบบ่อย ได้แก่

  • Bone Scan (สแกนกระดูก) ใช้ตรวจหาการกระจายของมะเร็งมาที่กระดูก การติดเชื้อในกระดูก กระดูกอักเสบ หรือการบาดเจ็บที่กระดูกที่การเอกซเรย์ธรรมดาอาจยังไม่เห็น
  • Renal Scan (สแกนไต) ใช้ประเมินการทำงานของไตแยกข้างซ้าย–ขวา ตรวจหาการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ และช่วยวางแผนการผ่าตัดทางระบบปัสสาวะ
  • MUGA Scan (การตรวจการบีบตัวของหัวใจด้วยรังสี) ใช้ประเมินการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย (Left Ventricular Ejection Fraction, LVEF) ตรวจความผิดปกติของการเคลื่อนไหวผนังหัวใจ และติดตามผลข้างเคียงต่อหัวใจจากยาเคมีบำบัด
  • Myocardial Perfusion Scan (สแกนหัวใจ) ใช้ตรวจการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อคัดกรองภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือประเมินความรุนแรงของโรคหัวใจขาดเลือด
  • Thyroid Scan (สแกนไทรอยด์) ใช้ประเมินการทำงานของต่อมไทรอยด์ ตรวจหาสาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษ และจำแนกลักษณะของก้อนในต่อมไทรอยด์
  • PET/CT Scan เป็นเครื่องตรวจเฉพาะที่สามารถเลือกใช้สารเภสัชรังสีหลายชนิดที่ปล่อยรังสีโพซิตรอน โดยการตรวจที่พบบ่อยที่สุด คือ การประเมินโรคมะเร็ง เช่น การตรวจหาตำแหน่งก้อนมะเร็ง การแพร่กระจาย และการติดตามผลการรักษา
  • Dual-energy X-ray Absorptiometry (DXA) ใช้ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density, BMD) ช่วยในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนและประเมินความเสี่ยงกระดูกหัก

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


ด้านการรักษา

เวชศาสตร์นิวเคลียร์มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคบางชนิด ด้วยสารเภสัชรังสีที่สามารถออกฤทธิ์ตรงกับอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่ต้องการรักษา โดยส่วนมากเป็นการรักษาร่วมกับการรักษาหลักอื่น ๆ ช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาได้ เช่น

  • รักษาไทรอยด์เป็นพิษด้วยสารไอโอดีนรังสี (I-131) โดยสาร I-131 จะเข้าไปทำลายเซลล์ต่อมไทรอยด์ที่ทำงานมากผิดปกติ ทำให้ควบคุมภาวะฮอร์โมนไทรอยด์เกินได้
  • รักษามะเร็งต่อมไทรอยด์หลังผ่าตัด เพื่อลดโอกาสการกลับมาเกิดซ้ำของมะเร็งและทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลือ รวมถึงมะเร็งที่แพร่กระจาย
  • ลดอาการปวดจากมะเร็งกระดูกแพร่กระจาย ช่วยบรรเทาอาการปวดและปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย
  • รักษามะเร็งบางชนิดร่วมกับการรักษาหลักอื่น ๆ เช่น มะเร็งนิวโรบลาสโตมา มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งของเนื้อเยื่อประสาท-ต่อมไร้ท่อ

แหล่งข้อมูล: ผศ. พญ.คนึงนิจ ธรรมนิรัต สาขาวิชาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

...