ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และมักรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ มักเป็นภัยเงียบที่สะสมจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและโรคประจำตัว แต่สามารถป้องกันได้
สาเหตุของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เกิดจากหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและขาดออกซิเจน สาเหตุหลักมาจากการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดจนเกิดการปริแตก และมีลิ่มเลือดไปอุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้ ก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายและอาจมีความรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต
เช็กอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
เป็นอาการที่แสดงออกถึงภาวะหัวใจวายเฉียบพลันที่มีความรุนแรง หรืออาจเป็นอาการแสดงของโรคอื่น ๆ ที่มีความรุนแรงถึงชีวิตได้เช่นเดียวกัน อาการดังกล่าว เช่น
- เจ็บหน้าอก
- เป็นลม หมดสติ หรือมีอาการเหนื่อยเพลียมาก
- หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ
- ร่วมกับมีอาการหายใจหอบ เจ็บหน้าอก หรือหมดสติ
- มีอาการหายใจไม่อิ่มที่เป็นขึ้นมาทันที หรือเป็นอย่างรุนแรง
- มีอาการไอ
- มีเสมหะปนฟองสีชมพู
หากมีอาการต่าง ๆ ดังกล่าว ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อรับการตรวจและรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
...
กลุ่มเสี่ยงของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่คนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและพบได้บ่อยที่สุดคือผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจอยู่เดิม เช่น โรคหัวใจขาดเลือด และสามารถเกิดได้กับผู้ที่ไม่เคยมีโรคหัวใจแต่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่ส่งผลต่อหัวใจ เช่น
- โรคไตระยะท้าย
- โรคพิษสุราเรื้อรัง
- โรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด
- โรคเบาหวาน
- โรคความดันเลือดสูง
- โรคอ้วน
- โรคต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ (hyperthyroidism)
- มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- โรคหลอดเลือดสมอง
- การติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่อหัวใจ
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ป้องกันได้ไหม
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน มีทั้งที่เราเลี่ยงได้และเลี่ยงไม่ได้ ปัจจัยที่เลี่ยงไม่ได้คือ อายุที่มากขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่มาจากโรคเรื้อรัง ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่สามารถปรับเปลี่ยนและควบคุมเพื่อป้องกันภาวะหัวใจวายเฉียบพลันที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
- รักษาน้ำหนักให้เป็นปกติ เพราะหากโรคอ้วนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารที่สมดุล ซึ่งมีเนื้อแดงและน้ำตาลในปริมาณน้อย
- เลิกสูบบุหรี่
- หาวิธีจัดการกับความเครียด
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ควรตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี หากพบว่ามีอาการผิดปกติควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะยิ่งได้รับการวินิจฉัยอาการและเริ่มการรักษาได้เร็วก็ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ที่มา: โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช