สิ่งที่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ต้องพบเจอนอกจากการสูญเสียทรัพย์สินและบุคคลใกล้ชิดแล้ว บางคนอาจมีภาวะ “Refeeding syndrome” ซึ่งเป็นการตอบสนองของร่างกายหลังจากที่อดอาหารเป็นเวลาหลายวันตามมาด้วย

Refeeding syndrome คืออะไร

ข้อมูลจาก Cleveland Clinic ระบุว่า ภาวะ Refeeding syndrome หรือกลุ่มอาการจากการได้รับสารอาหาร เกิดขึ้นเมื่อผู้ที่ขาดสารอาหารเป็นเวลานาน กลับมาได้รับอาหารอีกครั้ง หากเริ่มให้อาหารเร็วเกินไป ร่างกายที่เคยขาดสารอาหารจะปรับตัวไม่ทัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของระดับเกลือแร่และเคมีในร่างกาย ส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อ ปอด หัวใจ และสมอง จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

สาเหตุของ ภาวะ Refeeding syndrome มาจาก 2 ปัจจัยดังนี้

  • เมื่อร่างกายขาดอาหาร ร่างกายจะปรับเปลี่ยนระบบเผาผลาญ (Metabolism) โดยหันไปสลายไขมันและกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทน และลดอัตราการเผาผลาญลงเพื่อประหยัดพลังงาน
  • เมื่อเริ่มได้รับอาหาร (Refeeding) ร่างกายจะกลับมาเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตตามปกติ ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้ “เกลือแร่” จำนวนมาก หากร่างกายมีเกลือแร่สะสมอยู่น้อย การดึงเกลือแร่จากเลือดเข้าสู่เซลล์อย่างรวดเร็วจะทำให้ระดับเกลือแร่ในเลือดลดฮวบจนเกิดภาวะขาดแคลนรุนแรง

ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงภาวะ Refeeding syndrome

  • ผู้ที่มีน้ำหนักลดลงมากกว่า 10% ในช่วงที่ผ่านมา
  • อดอาหารนานกว่า 7 วัน และร่างกายมีความเครียดสูง
  • ผู้ป่วยโรคการกินผิดปกติ เช่น อะนอแรกเซีย (Anorexia), บูลิเมีย (Bulimia)
  • ผู้มีปัญหาการดูดซึมอาหาร เช่น ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด
  • ผู้ป่วยเบาหวานที่คุมระดับน้ำตาลไม่ได้
  • ผู้ดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง
  • ผู้ใช้ยาลดกรดหรือยาขับปัสสาวะเป็นเวลานาน

...

อาการภาวะ Refeeding syndrome

อาการส่วนใหญ่เกิดจากการขาดเกลือแร่สำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, และแมกนีเซียม รวมถึงการขาดวิตามินบี 1 และสมดุลน้ำที่ผิดปกติ โดยการขาดสารอาหารเหล่านี้ ร่างกายจะแสดงอาการที่แตกต่างกันออกไป

  • ขาดฟอสฟอรัส เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง, หายใจลำบาก, เห็นภาพซ้อน, กลืนลำบาก, ชัก, โคม่า, หรือหัวใจล้มเหลว
  • ขาดแมกนีเซียม อาการได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน, สั่น, กล้ามเนื้อกระตุก, หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ขาดโพแทสเซียม จะมีอาการตะคริว, ท้องผูกรุนแรง, หายใจล้มเหลว, หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ขาดวิตามินบี 1 จะมีอาการสับสน, มีปัญหาการทรงตัว, ความจำเสื่อม, เห็นภาพหลอน
  • สมดุลน้ำผิดปกติ อาจเกิดภาวะขาดน้ำ หรือ น้ำเกิน เช่น น้ำท่วมปอด, หัวใจวาย
  • น้ำตาลในเลือดสูง มีอาการปวดหัว, ตามัว, ปัสสาวะบ่อย, อ่อนเพลีย

ภาพ iStock
ภาพ iStock


การวินิจฉัยและการรักษา ภาวะ Refeeding syndrome

ในด้านการวินิจฉัย แพทย์จะตรวจสัญญาณชีพและเจาะเลือดเพื่อดูระดับเกลือแร่ที่ผิดปกติ โดยสามารถรักษาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

1. ก่อนเริ่มให้อาหาร 

แพทย์จะเจาะเลือดดูระดับเกลือแร่ และเสริมเกลือแร่ที่ขาดเข้าไปก่อนหรือพร้อมกับอาหาร

2. ระหว่างให้อาหาร 

จะเริ่มให้อาหารช้าๆ และเจาะเลือดติดตามผลทุกวัน (อาการมักเกิดใน 5 วันแรก) หากพบอาการ แพทย์จะชะลอการให้อาหารลง ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต และให้เกลือแร่เสริมทางหลอดเลือดดำ

3. ระยะเวลาฟื้นตัว 

หากตรวจพบเร็ว อาการจะดีขึ้นทันทีหลังแก้เกลือแร่ แต่การฟื้นฟูภาวะขาดสารอาหารเดิมอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์

แม้ภาวะนี้อาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้ แต่ส่วนใหญ่อาการสามารถรักษาให้หายกลับมาเป็นปกติได้หากแพทย์ตรวจพบและแก้ไขความสมดุลของเกลือแร่ทันเวลา

การป้องกัน ภาวะ Refeeding syndrome

  • หากมีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร ควรรักษาและเสริมวิตามินตามแพทย์สั่ง
  • การอดอาหารนานๆ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยาบางชนิดมากเกินไป

ภาวะ Refeeding syndrome เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน การรักษาภาวะขาดสารอาหารไม่ควรเร่งรีบเกินไป ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัย