ขมิ้นชัน สมุนไพรที่มีสรรพคุณเด่นหลากหลายด้าน เช่น ลดการอักเสบ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แม้ขมิ้นชันจะเป็นสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ แต่หากกินคู่กับยา อาหาร หรือวิตามินบางชนิดก็อาจจะส่งผลเสียแทนได้ ดังนั้น ผู้ที่กินขมิ้นชันเป็นประจำควรรู้ว่า ขมิ้นชันห้ามกินคู่กับอะไร เพื่อลดความเสี่ยงและเสริมสุขภาพที่ดี
บทความนี้ ไทยรัฐออนไลน์เปิด 10 ของต้องห้าม ขมิ้นชันห้ามกินคู่กับอะไร มีอาหาร ยา หรือวิตามินที่ไม่ควรกินคู่กับขมิ้นชันมีอะไรบ้าง พร้อมทั้งสรรพคุณ ข้อควรระวัง รวมถึงวิธีกินขมิ้นชันที่ถูกต้อง แบบครบจบในที่เดียว
ขมิ้นชัน คืออะไร และมีสรรพคุณอะไรบ้าง
ขมิ้นชัน (Turmeric) เป็นสมุนไพรที่มีสารสำคัญชื่อ เคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ทำให้ขมิ้นชันมีสรรพคุณประโยชน์หลากหลาย เช่น
- ลดการอักเสบของกระเพาะอาหาร
- บรรเทาอาการท้องอืด แน่นท้อง กรดไหลย้อน
- ช่วยขับลมและบำรุงระบบย่อย
- มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
- ช่วยบำรุง และลดการสะสมของไขมันพอกตับ
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์
- มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
- ชะลอความเสื่อมของร่างกาย
...
ขมิ้นชัน ห้ามกินคู่กับอะไร
อย่างไรก็ดี แม้ว่าขมิ้นชันจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ต้องกินอย่างเหมาะสม โดยขมิ้นชันห้ามกินคู่กับยา อาหาร และวิตามิน ดังนี้
1. ขมิ้นชัน ห้ามกินคู่กับยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด
เนื่องจากขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น แต่เมื่อกินร่วมกับยาเหล่านี้อาจทำให้เลือดออกง่ายหรือหยุดเลือดช้า เช่น Warfarin, Aspirin, Celiprolol, Enoxaparin, Apixaban, Rivaroxaban หรือ Clopidogrel
2. ห้ามกินคู่กับยาลดกรดหรือยารักษากรดไหลย้อนบางชนิด
ขมิ้นชันอาจกระตุ้นให้กรดในกระเพาะเพิ่มมากขึ้นในบางคน เมื่อกินร่วมกับยาลดกรดบางชนิด เช่น ยาลดกรด (Antacid) ยากลุ่ม H2-blocker (เช่น Famotidine) หรือยากลุ่ม Proton Pump Inhibitor – PPI (เช่น Omeprazole, Esomeprazole) โดยอาจส่งผลให้ยาทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ในบางรายอาจเกิดการระคายเคือง
3. ห้ามกินขมิ้นชันคู่กับวิตามินบางชนิด
ขมิ้นชัน ห้ามกินคู่กับวิตามิน ดังนี้
- วิตามินเค (Vitamin K) ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เลือดแข็งตัว ในขณะเดียวกันขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด อาจส่งผลต่อผู้ที่ต้องควบคุมระดับเลือดผิดปกติ
- วิตามินที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เช่น วิตามินบีรวมบางสูตร หรือสมุนไพรลดน้ำตาล เมื่อกินร่วมกับขมิ้นชันที่มีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาล อาจส่งผลให้น้ำตาลตกอย่างรวดเร็ว
- อาหารเสริมโอเมก้า 3 (EPA/DHA) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด หากกินคู่กันอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
4. ยาต้านการอักเสบประเภท NSAIDs
ทั้งขมิ้นชันและยาต้านอักเสบประเภท NSAIDs มีผลต่อกระเพาะอาหาร หากกินร่วมกันอาจทำให้ระคายเคือง กระเพาะอักเสบ หรือแสบท้องได้ โดยยาที่ควรเลี่ยง เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Naproxen หรือ Celecoxib
6. ห้ามกินคู่กับยาลดความดันโลหิตสูง
ขมิ้นชันห้ามกินคู่กับยาลดความดันโลหิตสูง เช่น Celiprolol หรือ Losartan เนื่องจากขมิ้นชันอาจไปเพิ่มระดับยาในเลือดได้
7. ห้ามกินคู่กับยารักษามะเร็งบางชนิด
ยาต้านมะเร็งบางชนิด เช่น Doxorubicin, Chlormethine, Cyclophosphamide Camptothecin หากกินคู่กับขมิ้นชันแล้ว อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย เนื่องจากขมิ้นชินมีฤทธิ์ต้านยาดังกล่าว
8. ห้ามกินคู่กับยาลดไขมันในเลือด
ควรหลีกเลี่ยงการกินยาลดไขมันในเลือดกับขมิ้นชัน เช่น Rosuvastatin เนื่องจากอาจไปเพิ่มระดับของยาในเลือดได้
9. ห้ามกินคู่กับยาต้านอาการวิตกกังวล หรือซึมเศร้า
ยาต้านอาการวิตกกังวล หรือซึมเศร้า เช่น Midazolam, Fluoxetine หากกินคู่กับขมิ้นชัน จะส่งผลให้ระดับของยาในเลือดเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มฤทธิ์ของยาอีกด้วย
10. ห้ามกินคู่กับอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมาก
ขมิ้นชันเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนแรง หากกินคู่กับอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมาก เช่น ขิง กระชาย พริกในปริมาณที่มากเกิน อาจส่งผลให้ผู้ที่กระเพาะอ่อนแอมีอาการร้อนใน แสบท้อง หรือเกิดอาการระคายเคืองเพิ่มขึ้นได้
...
วิธีการกินขมิ้นชันที่ถูกต้องทำอย่างไร
การกินขมิ้นชันที่ถูกต้อง และส่งผลดีต่อร่างกายสูงสุดมีดังนี้
- กินในปริมาณที่เหมาะสม แบบผง หรือผสมอาหาร ควรกินประมาณ 1-2 ช้อนชา/วัน แต่แบบแคปซูลควรกินประมาณ 500-1,000 มิลลิกรัม/วัน ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการกินเกินวันละ 2,000 มิลลิกรัม
- ควรกินในช่วงเวลาหลังอาหารประมาณ 10-15 นาที
- หากต้องการเพิ่มการดูดซึมให้ดียิ่งขึ้น ควรกินคู่กับไขมันดี หรือพริกไทยดำ
หลังจากที่รู้จัก 10 ของต้องห้าม ขมิ้นชันห้ามกินคู่กับอะไรไปแล้ว แนะนำให้เลือกกินขมิ้นชันอย่างระมัดระวัง เพราะแม้ว่าขมิ้นชันจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบย่อยอาหาร ลดการอักเสบ หรือเสริมภูมิคุ้มกัน แต่หากกินคู่กับยา อาหาร หรือวิตามินบางอย่างก็อาจส่งผลเสียแทนได้
ทั้งนี้ หากใครที่มีอาการป่วย หรือกินยาบางประเภทอยู่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่กำลังให้นมบุตร หรือผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด
อ้างอิงข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล