โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง และโครงสร้างของกระดูกเสื่อมคุณภาพ จึงทำให้กระดูกเปราะบาง และมีโอกาสหักหรือยุบตัวได้ง่าย

เมื่อมองเข้าไปในโครงสร้างย่อยระดับจุลภาค พบว่า ปริมาณของกระดูกส่วนนอกลดลง และเนื้อกระดูกส่วนในตรงแกนกลางก็มีจำนวนลดลงด้วย อีกทั้งร่างแหของกระดูกส่วนในที่เคยประสานกันอย่างแข็งแรงและเป็นระเบียบมักขาดไปเป็นส่วน ๆ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้กระดูกแข็งแรงลดลง เมื่อหกล้มหรือมีแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย กระดูกจะยุบและหักได้

กระดูกหักในโรคกระดูกพรุนที่พบบ่อย หมายถึง กระดูกหักในตำแหน่งดังต่อไปนี้ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก กระดูกต้นแขน และกระดูกข้อมือ บ่อยครั้งที่กระดูกสันหลังหักขึ้นเอง แม้ไม่มีแรงกระแทกหรือได้รับแรงกระแทกที่ไม่รุนแรง โดยปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน แบ่งเป็น ปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ และปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนได้

ปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้

  • อายุมากกว่า 50 ปี
  • เพศหญิง
  • เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
  • น้ำหนักตัวน้อยร่วมกับเป็นคนมีรูปร่างเล็ก
  • การมีกระดูกหักมาก่อนหน้านี้ หรือตัวเตี้ยลง

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...


ปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนได้

  • การได้รับแคลเซียมและวิตามินดีไม่เพียงพอ
  • การรับประทานผักหรือผลไม้ไม่เพียงพอ
  • การรับประทานอาหารเค็ม (มีเกลือโซเดียม) และคาเฟอีนมากเกินไป
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าหรือเท่ากับ 2 ดื่มมาตรฐานหรือยูนิตต่อวันในผู้หญิง หรือมากกว่า 3 ดื่มมาตรฐานหรือยูนิตต่อวันในผู้ชาย
  • การสูบบุหรี่
  • การขาดการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวน้อยในชีวิตประจำวัน ขาดการออกกำลังกาย
  • น้ำหนักตัวลด

ยาที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน

ยาหลายชนิดส่งผลให้มวลกระดูกลดลงได้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน แต่หากท่านมีโรคประจำตัวที่จำเป็นต้องใช้ยาดังกล่าวเหล่านั้น ไม่ควรหยุดยาเอง ควรปรึกษาแพทย์ประจำถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ยาดังกล่าว และใช้ยาตามแพทย์สั่งด้วยขนาดที่น้อยที่สุด และสั้นที่สุดเท่าที่ท่านจำเป็นต้องใช้เพื่อรักษาโรคประจำตัวนั้น ๆ

หากแพทย์พิจารณาแล้วว่า มีความจำเป็นต้องใช้ยา เช่น ยากลูโคคอร์ติคอยด์ เป็นระยะเวลายาวต่อเนื่องกัน แพทย์อาจพิจารณาอย่างอื่น เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนจากยานั้น เช่น ให้รับประทานแคลเซียมและวิตามินดีเสริม กรณีที่ได้รับไม่เพียงพอ และอาจได้รับยาต้านโรคกระดูกพรุนควบคู่กันไปด้วย

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


ตัวอย่างยาที่มีผลทำให้มวลกระดูกลดลง เช่น

  • ยาน้ำลดกรดที่มีส่วนประกอบของอะลูมิเนียม
  • ยากันชัก เช่น ยาไดแลนติน หรือยาฟีโนบาร์บิทัล
  • ยากลุ่ม Aromatase inhibitor ซึ่งเป็นยารักษามะเร็งเต้านม
  • ยาเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
  • ไซโคลสปอรินเอ และแทโครลิมุส
  • ฮอร์โมนคอร์ติโคโทรปิน รีลิสซิงฮอร์โมน
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือดเฮพาริน
  • ลิเทียม
  • ยาคุมกำเนิด ชื่อ ยาเมดรอกซีโปรเจสเตอโรน
  • ยาเมโทเทรกเซต
  • ยารักษาโรคกระเพาะกลุ่มยายับยั้งการขับโปรตอน เช่น อีโซเมปราโซล แลนโซพราโซล โอมีปราโซล
  • ยารักษาโรคซึมเศร้า กลุ่มเอสเอสอาร์ไอ เช่น ฟลูออกซิทีน เซอร์ทราลีน
  • ยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน ไฮโดรคอร์ติโซน
  • ยารักษามะเร็งเต้านม ชื่อ ทาม็อกซิเฟน (มีผลเพิ่มความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน เฉพาะในหญิงวัยหมดก่อนประจำเดือน)
  • ยารักษาเบาหวาน ชื่อ ไพโอกลิตาโซน
  • ได้รับฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป

ยาที่ถูกใช้มากในทางเวชปฏิบัติอย่างแพร่หลาย คือ ยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ หรือคอร์ติโคสเตอรอยด์ ถูกนำไปใช้รักษาโรค เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ตัวเอง ใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ใช้เป็นยากดภูมิหลังได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ยาถูกนำไปใช้ทั้งรูปของยากิน ยาพ่นหรือยาทา ยกตัวอย่างชื่อยา เช่น คอร์ติโซน ไฮโดรคอร์ติโซน เดกซาเมทาโซน เพร็ดนิโซโลน เมธิลเพร็ดนิโซโลน พบว่า การใช้ยากลูโคคอร์ติคอยด์ เช่น ใช้เพร็ดนิโซโลนมากกว่าหรือเท่ากับ 5 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานานกว่า 3 เดือน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ถึงการใช้ยาให้น้อยที่สุดและสั้นที่สุด และที่สำคัญไม่ควรหยุดยาดังกล่าวเอง

...

โรคหรือภาวะที่ทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูก

โรคหรือภาวะที่ทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูกมีหลายโรค ดังนั้นถ้าท่านมีภาวะดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาแนวทางปฏิบัติในการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคกระดูกพรุน ตัวอย่างโรคดังกล่าว ได้แก่

  • โรคภูมิทำลายตนเอง โรคภูมิแพ้ตนเอง หรือโรคออโตอิมมูน (autoimmune disorders) เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลูปัสหรือโรคเอสแอลอี เนื่องจากโรคกลุ่มนี้มักมีการใช้ยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ ร่วมกับตัวโรคเองมีการอักเสบเกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา จึงทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
  • โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis)
  • โรคข้อสันหลังอักเสบชนิดติดยึด (ankylosing spondylitis)
  • โรคที่มีความผิดปกติของระบบย่อยและดูดซึมอาหาร เช่น กลุ่มโรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ประกอบไปด้วย 2 โรคย่อย คือ โรค ulcerative colitis (UC) และโรคโครห์น (Crohn’s disease) ผู้ป่วยมักมีอาการถ่ายผิดปกติ ถ่ายบ่อย อุจจาระปนมูกเลือด ท้องเสียอย่างรุนแรง ปวดท้อง บางครั้งมีอาการอื่น ได้แก่ เหนื่อยล้า ไม่สบายตัว เบื่ออาหาร และมีไข้ร่วมด้วย เนื่องจากการอักเสบที่ทางเดินอาหารทำให้การดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดีลดลง อีกทั้งการรักษาโรคมักต้องใช้ยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์

ซึ่งปัจจัยทั้งหมด ส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน

การรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีผ่าตัด ทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้มวลกระดูกลดลง อีกทั้งวิธีการผ่าตัด ทั้งชนิดเพื่อลดขนาดกระเพาะ โดยวิธีการใส่ห่วงรัดกระเพาะแบบปรับขนาด หรือการผ่าตัดตรงส่วนกระเพาะอาหารโดยตรงเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหาร ต่างส่งผลรบกวนการดูดซึมสารอาหารหลายชนิด และรวมไปถึงแคลเซียม วิตามินดี และเกลือแร่ต่าง ๆ ซึ่งสารอาหารและเกลือแร่หลายอย่างมีความสำคัญ ช่วยรักษาความแข็งแรงของกระดูก

...

ได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร หรือการผ่าตัดที่มีการตัดต่อหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งจะส่งผลรบกวนการดูดซึมของอาหาร ซึ่งรวมไปถึงแคลเซียม วิตามินดี และเกลือแร่ต่าง ๆ เช่นกัน

สัปดาห์หน้ายังมีเรื่องราวของโรคหรือภาวะที่ทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูกอีกหลายโรค รอติดตามกัน

ที่มา: รศ. พญ.หทัยกาญจน์ นิมิตพงษ์ สาขาวิชาโรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล