โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง และโครงสร้างของกระดูกเสื่อมคุณภาพ จึงทำให้กระดูกเปราะบาง และมีโอกาสหักหรือยุบตัวได้ง่าย
เมื่อมองเข้าไปในโครงสร้างย่อยระดับจุลภาค พบว่า ปริมาณของกระดูกส่วนนอกลดลง และเนื้อกระดูกส่วนในตรงแกนกลางก็มีจำนวนลดลงด้วย อีกทั้งร่างแหของกระดูกส่วนในที่เคยประสานกันอย่างแข็งแรงและเป็นระเบียบมักขาดไปเป็นส่วน ๆ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้กระดูกแข็งแรงลดลง เมื่อหกล้มหรือมีแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย กระดูกจะยุบและหักได้
กระดูกหักในโรคกระดูกพรุนที่พบบ่อย หมายถึง กระดูกหักในตำแหน่งดังต่อไปนี้ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก กระดูกต้นแขน และกระดูกข้อมือ บ่อยครั้งที่กระดูกสันหลังหักขึ้นเอง แม้ไม่มีแรงกระแทกหรือได้รับแรงกระแทกที่ไม่รุนแรง โดยปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน แบ่งเป็น ปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ และปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนได้
ปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้
- อายุมากกว่า 50 ปี
- เพศหญิง
- เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
- น้ำหนักตัวน้อยร่วมกับเป็นคนมีรูปร่างเล็ก
- การมีกระดูกหักมาก่อนหน้านี้ หรือตัวเตี้ยลง
...
ปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนได้
- การได้รับแคลเซียมและวิตามินดีไม่เพียงพอ
- การรับประทานผักหรือผลไม้ไม่เพียงพอ
- การรับประทานอาหารเค็ม (มีเกลือโซเดียม) และคาเฟอีนมากเกินไป
- การดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าหรือเท่ากับ 2 ดื่มมาตรฐานหรือยูนิตต่อวันในผู้หญิง หรือมากกว่า 3 ดื่มมาตรฐานหรือยูนิตต่อวันในผู้ชาย
- การสูบบุหรี่
- การขาดการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวน้อยในชีวิตประจำวัน ขาดการออกกำลังกาย
- น้ำหนักตัวลด
ยาที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
ยาหลายชนิดส่งผลให้มวลกระดูกลดลงได้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน แต่หากท่านมีโรคประจำตัวที่จำเป็นต้องใช้ยาดังกล่าวเหล่านั้น ไม่ควรหยุดยาเอง ควรปรึกษาแพทย์ประจำถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ยาดังกล่าว และใช้ยาตามแพทย์สั่งด้วยขนาดที่น้อยที่สุด และสั้นที่สุดเท่าที่ท่านจำเป็นต้องใช้เพื่อรักษาโรคประจำตัวนั้น ๆ
หากแพทย์พิจารณาแล้วว่า มีความจำเป็นต้องใช้ยา เช่น ยากลูโคคอร์ติคอยด์ เป็นระยะเวลายาวต่อเนื่องกัน แพทย์อาจพิจารณาอย่างอื่น เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนจากยานั้น เช่น ให้รับประทานแคลเซียมและวิตามินดีเสริม กรณีที่ได้รับไม่เพียงพอ และอาจได้รับยาต้านโรคกระดูกพรุนควบคู่กันไปด้วย
ตัวอย่างยาที่มีผลทำให้มวลกระดูกลดลง เช่น
- ยาน้ำลดกรดที่มีส่วนประกอบของอะลูมิเนียม
- ยากันชัก เช่น ยาไดแลนติน หรือยาฟีโนบาร์บิทัล
- ยากลุ่ม Aromatase inhibitor ซึ่งเป็นยารักษามะเร็งเต้านม
- ยาเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
- ไซโคลสปอรินเอ และแทโครลิมุส
- ฮอร์โมนคอร์ติโคโทรปิน รีลิสซิงฮอร์โมน
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือดเฮพาริน
- ลิเทียม
- ยาคุมกำเนิด ชื่อ ยาเมดรอกซีโปรเจสเตอโรน
- ยาเมโทเทรกเซต
- ยารักษาโรคกระเพาะกลุ่มยายับยั้งการขับโปรตอน เช่น อีโซเมปราโซล แลนโซพราโซล โอมีปราโซล
- ยารักษาโรคซึมเศร้า กลุ่มเอสเอสอาร์ไอ เช่น ฟลูออกซิทีน เซอร์ทราลีน
- ยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน ไฮโดรคอร์ติโซน
- ยารักษามะเร็งเต้านม ชื่อ ทาม็อกซิเฟน (มีผลเพิ่มความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน เฉพาะในหญิงวัยหมดก่อนประจำเดือน)
- ยารักษาเบาหวาน ชื่อ ไพโอกลิตาโซน
- ได้รับฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป
ยาที่ถูกใช้มากในทางเวชปฏิบัติอย่างแพร่หลาย คือ ยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ หรือคอร์ติโคสเตอรอยด์ ถูกนำไปใช้รักษาโรค เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ตัวเอง ใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ใช้เป็นยากดภูมิหลังได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ยาถูกนำไปใช้ทั้งรูปของยากิน ยาพ่นหรือยาทา ยกตัวอย่างชื่อยา เช่น คอร์ติโซน ไฮโดรคอร์ติโซน เดกซาเมทาโซน เพร็ดนิโซโลน เมธิลเพร็ดนิโซโลน พบว่า การใช้ยากลูโคคอร์ติคอยด์ เช่น ใช้เพร็ดนิโซโลนมากกว่าหรือเท่ากับ 5 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานานกว่า 3 เดือน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ถึงการใช้ยาให้น้อยที่สุดและสั้นที่สุด และที่สำคัญไม่ควรหยุดยาดังกล่าวเอง
...
โรคหรือภาวะที่ทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูก
โรคหรือภาวะที่ทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูกมีหลายโรค ดังนั้นถ้าท่านมีภาวะดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาแนวทางปฏิบัติในการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคกระดูกพรุน ตัวอย่างโรคดังกล่าว ได้แก่
- โรคภูมิทำลายตนเอง โรคภูมิแพ้ตนเอง หรือโรคออโตอิมมูน (autoimmune disorders) เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลูปัสหรือโรคเอสแอลอี เนื่องจากโรคกลุ่มนี้มักมีการใช้ยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ ร่วมกับตัวโรคเองมีการอักเสบเกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา จึงทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis)
- โรคข้อสันหลังอักเสบชนิดติดยึด (ankylosing spondylitis)
- โรคที่มีความผิดปกติของระบบย่อยและดูดซึมอาหาร เช่น กลุ่มโรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ประกอบไปด้วย 2 โรคย่อย คือ โรค ulcerative colitis (UC) และโรคโครห์น (Crohn’s disease) ผู้ป่วยมักมีอาการถ่ายผิดปกติ ถ่ายบ่อย อุจจาระปนมูกเลือด ท้องเสียอย่างรุนแรง ปวดท้อง บางครั้งมีอาการอื่น ได้แก่ เหนื่อยล้า ไม่สบายตัว เบื่ออาหาร และมีไข้ร่วมด้วย เนื่องจากการอักเสบที่ทางเดินอาหารทำให้การดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดีลดลง อีกทั้งการรักษาโรคมักต้องใช้ยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์
ซึ่งปัจจัยทั้งหมด ส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
การรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีผ่าตัด ทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้มวลกระดูกลดลง อีกทั้งวิธีการผ่าตัด ทั้งชนิดเพื่อลดขนาดกระเพาะ โดยวิธีการใส่ห่วงรัดกระเพาะแบบปรับขนาด หรือการผ่าตัดตรงส่วนกระเพาะอาหารโดยตรงเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหาร ต่างส่งผลรบกวนการดูดซึมสารอาหารหลายชนิด และรวมไปถึงแคลเซียม วิตามินดี และเกลือแร่ต่าง ๆ ซึ่งสารอาหารและเกลือแร่หลายอย่างมีความสำคัญ ช่วยรักษาความแข็งแรงของกระดูก
...
ได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร หรือการผ่าตัดที่มีการตัดต่อหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งจะส่งผลรบกวนการดูดซึมของอาหาร ซึ่งรวมไปถึงแคลเซียม วิตามินดี และเกลือแร่ต่าง ๆ เช่นกัน
สัปดาห์หน้ายังมีเรื่องราวของโรคหรือภาวะที่ทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูกอีกหลายโรค รอติดตามกัน
ที่มา: รศ. พญ.หทัยกาญจน์ นิมิตพงษ์ สาขาวิชาโรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล