แม้ว่าโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจะฟังดูเหมือนโรคเฉพาะทางที่พบไม่บ่อย แต่ในความจริงแล้วพบได้ประมาณ 8-10 รายต่อเด็กเกิดใหม่ 1,000 ราย (โดยอ้างอิงจากอัตราเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยมีแนวโน้มใกล้เคียงกัน) และยังมีแนวโน้มถูกวินิจฉัยได้เร็วขึ้นจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของโรคยังคงเป็นความท้าทาย ทั้งในแง่ของอาการที่ไม่จำเพาะ ไปจนถึงความจำเป็นในการวางแผนรักษาอย่างแม่นยำภายใต้ทีมแพทย์หลายสาขา
อาการที่บ่งบอกว่าเด็กอาจเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด มีอาการดังนี้
- ดูดนมได้น้อย เหนื่อยง่าย ใช้ระยะเวลาดูดนมนานกว่าปกติ และมักต้องดูดๆ หยุดๆ ดูดนมได้น้อยกว่าปกติ เนื่องจากผนังหัวใจรั่วทำให้เลือดไหลผ่านรูรั่วไปที่ปอดมากกว่าปกติ หัวใจและปอดทำงานจึงมากกว่าปกติ
- หายใจเร็วผิดปกติ จากการที่ผนังหัวใจรั่ว ทำให้เลือดไหลผ่านรูรั่วไปที่ปอดมากกว่าปกติ มีผลทำให้มีการแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอดได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- ตัวเล็ก น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เพราะต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติ ทำให้เหลือไปใช้ในการเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ ร่างกายจึงเจริญเติบโตช้า
- มีเมตาบอลิซึ่มสูงกว่าเด็กปกติทั่วไป สังเกตได้จาเด็กมีเหงื่อออกมาก ตัวเย็น ซีดมากกว่าเด็กทั่วไป
- หัวใจเต้นเร็วและแรงกว่าปกติ สังเกตได้จากการคลำที่หน้าอก
- มีอาการ "เขียว" ตามปลายมือ ปลายเท้า หรือริมฝีปาก
ข้อสำคัญ คือ อาการเหล่านี้อาจไม่ชัดเจนในระยะแรก ทำให้หลายครอบครัวพามาพบแพทย์ช้า การตรวจเช็กด้วยเครื่องมือทันสมัย เช่น คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram) หรือ AI-assisted Cardiac Imaging จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยให้เร็วที่สุด
...
เทคโนโลยีในการรักษาโรคหัวใจโดยไม่ต้องผ่าตัด
แม้โรคหัวใจในเด็กจะดูยากและซับซ้อน แต่ปัจจุบันมีแนวทางการรักษาไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ โดยการนำอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายร่มสอดเข้าไปทางเส้นเลือดดำเข้าไปทางหัวใจ เพื่อไปอุดรูรั่ว ทั้ง PDA และ ASD โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่มีรอยแผลเป็น หลังการรักษาหากเด็กไม่มีภาวะแทรกซ้อนก็สามารถกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้ทันที และสามารถใช้ชีวิตปกติ แต่หากในกรณีที่ต้องผ่าตัด จะต้องได้รับการดูแลหลังผ่าตัดอย่างใก้ลชิดใน ICU และต้องใช้เวลาในการดูอาการใน ICU ประมาณ 1-2 วัน ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มมากขึ้น
นอกจากโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดแล้ว เด็กยังสามารถมีโรคหัวใจภายหลังคลอด เช่น
- โรคหัวใจรูมาติค จากการติดเชื้อสเตรปโตคอคคัส
- โรคคาวาซากิ ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจนแต่พบมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, การเต้นผิดจังหวะ, โรคหัวใจจากภาวะขาดวิตามิน B1
โดยเฉพาะโรคคาวาซากิซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นในเด็กไทยหลัง COVID-19 อาจส่งผลต่อหลอดเลือดหัวใจ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การดูแลเด็กหลังได้รับการรักษา
เด็กที่ได้รับการรักษาแล้วสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับเด็กทั่วไป แต่สำหรับเด็กที่ยังไม่ได้ผ่าตัดควรจะดูแลให้เขามีสุขภาพและร่างกายที่พร้อมจะรับการผ่าตัด ที่สำคัญที่สุดคือห้ามให้เด็กติดเชื้อ โดยเฉพาะปอดบวม รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ห้ามออกกำลังกายในเชิงแข่งขัน แต่พยายามให้เขาใช้ชีวิตประจำวันคล้ายปกติ สุดท้ายให้เด็กได้รับวัคซีนสำหรับป้องกันโรคต่างๆ เพื่อให้เขาไม่ติดเชื้อ เนื่องจากเด็กที่เป็นโรคหัวใจจะติดเชื้อง่าย และมีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังมากกว่าเด็กทั่วไป
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์สุขภาพเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพญาไท 2