กระแส Longevity หรือแนวคิดการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในโลกโซเชียล จากการตั้งคำถามของเอ๋-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือนิ้วกลม นักเขียนชื่อดัง ถึงเรื่องนี้ว่าแท้จริงแล้ว Longevity คือความหรูหราและภาระหรือไม่ จนเกิดเป็นกระแสไวรัลที่คนดังหลายคนต่างพากันมาแสดงความเห็นในมุมมองที่หลากหลายของตนเอง

ในความเห็นของนิ้วกลม มองว่าโลกทุนนิยมเปลี่ยนสุขภาพและความเยาว์วัย (Longevity) ให้เป็น "สินค้า" ที่เราต้องซื้อและบริโภค ไม่ว่าจะเป็นคอร์สออกกำลังกาย อาหารเสริม หรืออุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ทำให้การดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องที่มีค่าใช้จ่ายสูงและกลายเป็นภาระ

นอกจากนี้ยังสร้างความเหลื่อมล้ำและแรงกดดัน เพราะการเข้าถึงการดูแลสุขภาพแบบพรีเมียมต้องใช้เงินและเวลา คนที่มีเงินสามารถยกระดับสุขภาพของตนเองให้ดีขึ้นได้ กลายเป็นมาตรฐานที่คนอื่นต้องพยายามตามให้ทัน ซึ่งสร้างความกดดันทางจิตใจและทำให้ผู้คนรู้สึกไม่พอใจในร่างกายของตัวเอง

สุขภาพกลายเป็นเรื่องของการแข่งขัน ด้วยเทคโนโลยีที่วัดผลได้เป็นตัวเลข สุขภาพจึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นเรื่องที่นำมาอวดกันได้เหมือน "รถสปอร์ต" หรือนาฬิกาหรู ผู้คนเริ่มแข่งขันกันในทุกมิติของชีวิต แม้กระทั่งเรื่องความฟิตของร่างกาย ซึ่งยิ่งเพิ่มความเครียดและความกดดัน

...

สุขภาพดีคือความหรูหรา ในสังคมที่ระบบสาธารณสุขไม่ครอบคลุมและมีข้อจำกัด การมีสุขภาพดีต้องใช้เงินลงทุนส่วนตัวเป็นหลัก ทำให้สุขภาพที่ดีกลายเป็นเรื่องของชนชั้นที่มีฐานะ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยังคงต้องเผชิญกับมลภาวะและสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย

โดยนิ้วกลมให้ความเห็นปิดท้ายว่าแม้การดูแลสุขภาพจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ในภาพรวมแล้ว เทรนด์ Longevity กลับสร้างความรู้สึกเหนือกว่าให้กับคนบางกลุ่ม ในขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกด้อยกว่าให้กับคนอีกกลุ่ม จนทำให้ความอยากมีสุขภาพดีกลับส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของผู้คนในท้ายที่สุด

ด้านรวิศ หาญอุตสาหะ ซีอีโอ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด และผู้ก่อตั้งเพจ Mission to the Moon ได้แสดงความเห็นว่าการอวดเรื่องสุขภาพดีและอายุยืนเป็นพฤติกรรมวิวัฒนาการที่คล้ายกับการแสดงสถานะทางสังคมในอดีต (เช่น การอวดรถหรู) แต่การจะได้มาซึ่ง Longevity นั้นซับซ้อนกว่า เพราะต้องใช้ เวลา และ วินัย นอกเหนือจากเงิน ทำให้ผู้ที่ทำได้รู้สึกอยากอวดมากขึ้น

เขาแบ่ง Longevity ออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่

  • Level 1 คือ อาหาร, ออกกำลังกาย, การนอน, สุขภาพจิต, ความสัมพันธ์, และการหลีกเลี่ยงสารพิษ
  • Level 2 คือการตรวจวัดข้อมูลสุขภาพชีวภาพต่างๆ เช่น เลือดหรือพันธุกรรม
  • Level 3 คือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินหรือฮอร์โมน
  • Level 4 คือการใช้เครื่องมือทางการแพทย์และเทคโนโลยี เช่น Cryotherapy หรือ Stem Cell
  • Level 5 คือเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย เช่น Epigenetic Reprogramming

สิ่งสำคัญที่สุดคือ Level 1 ซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานและเพียงพอสำหรับคนส่วนใหญ่

ขณะเดียวกันก็ไม่มองข้ามเรื่องของการใช้ข้อมูลและทฤษฎี Nudge จากการวัดค่าสุขภาพด้วยอุปกรณ์สวมใส่ (เช่น WHOOP) ช่วยให้คนเห็นผลกระทบของพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัว ตามหลักทฤษฎี Nudge ซึ่งเป็นการ "สะกิด" ให้คนเลือกทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ โดยการนำเสนอข้อมูลที่เข้าใจง่าย เช่น การใช้สี (เขียว-เหลือง-แดง) เพื่อเป็นสัญญาณให้พักหรือฝึกหนัก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการเข้าถึงแนวคิด Longevity ควรเป็นวาระแห่งชาติ เพราะหากประชากรส่วนใหญ่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้ถึง 50% ซึ่งจะประหยัดงบประมาณด้านสาธารณสุขได้มหาศาล และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศในระยะยาว

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


สำหรับ ดร. สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย, ที่ปรึกษาด้าน Future Economy ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้วิเคราะห์เรื่อง ชนชั้นกลาง โรงเรียนอินเตอร์ และ Longevity ที่แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่ทั้งหมดสะท้อนปัญหาเดียวกันในสังคม นั่นคือ

...

1. แรงกดดันให้ต้อง "ดีขึ้น" เสมอ สังคมกำลังกดดันให้คนต้องพัฒนาตัวเองไม่หยุด ทั้งเรื่องทักษะการทำงาน การศึกษาของลูก และสุขภาพส่วนตัว เพราะกลัวจะตามไม่ทันคนอื่น

2. ความไม่มั่นใจในระบบพื้นฐานของรัฐ การถกเถียงเหล่านี้เผยให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นในระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ ทั้งระบบการศึกษา สาธารณสุข และเศรษฐกิจ ว่าไม่เพียงพอที่จะสร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่ประชาชน

3. คุณภาพชีวิตกลายเป็นสินค้าหรู เมื่อระบบพื้นฐานไม่ตอบโจทย์ ผู้คนจึงต้องพึ่งพาตัวเองในการ "ซื้อ" คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้สุขภาพ การศึกษา และโอกาสทางเศรษฐกิจ กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้เฉพาะผู้มีกำลังจ่ายเท่านั้น ซึ่งยิ่งตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม

เขามองว่าการถกเถียงเหล่านี้ไม่ใช่แค่ "ดราม่า" แต่เป็น "การดีเบต" ที่เปิดประเด็นให้สังคมได้ร่วมกันหาคำตอบว่า เราจะทำอย่างไรให้คุณภาพชีวิตไม่ใช่แค่สิ่งที่ซื้อได้ด้วยเงิน แต่เป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพื่อให้สังคมก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นอกจาก 3 ท่านนี้แล้ว ยังมีบุคคลดังในหลายแวดวงออกมาให้ความเห็นและวิเคราะห์เรื่อง Longevity ในมุมมองที่คล้ายและแตกต่างกันออกไปได้อย่างน่าสนใจ