โรคเบาหวานจัดเป็นหนึ่งในห้าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในประเทศไทย มีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และ 40% ไม่ทราบว่าตัวเองป่วย และพบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 300,000 คนต่อปี

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการคัดกรองเบื้องต้น การติดตามผล และการเข้าถึงการรักษาที่เท่าเทียมและทันสมัย และมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยไทยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากช่องว่างในการคัดกรองและการรักษา ทำให้ในปัจจุบัน ประเทศไทยเผชิญความท้าทายในการเข้าถึงยารักษาและเทคโนโลยีติดตามอาการใหม่ๆ อย่างเท่าเทียมโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท

การตรวจคัดกรองเบาหวานมีกี่วิธี

ปัจจุบันการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดจากการตรวจปัสสาวะในยุคเริ่มต้น มาเป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้สะดวกมากขึ้น

1. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (SMBG) ผ่านการเจาะนิ้ว 

เป็นวิธีที่ได้รับคำแนะนำและแพร่หลายที่สุดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการใช้งานร่วมกับแอปสุขภาพบนมือถือช่วยให้ผู้ป่วยสามารถบันทึกข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น การฉีดอินซูลิน การรับประทานยา และมื้ออาหาร และสามารถแชร์กับแพทย์ได้แบบเรียลไทม์

2. ระบบตรวจน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง (CGM)

เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการจัดการโรคเบาหวาน ด้วยความสามารถในการให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้อย่างทันท่วงที แต่ถึงกระนั้น การควบคุมน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพก็ยังเป็นช่องว่างสำคัญ เนื่องจากผู้ป่วยอาจยังมีภาวะน้ำตาลต่ำ ภาวะแทรกซ้อน และคุณภาพชีวิตที่ถดถอยจากการขาดความรู้ การไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ หรือการไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสม

...


3. แนวคิด Integrated Personalised Diabetes Management (iPDM) 

หรือการบริหารจัดการโรคเบาหวานแบบบูรณาการเฉพาะบุคคล ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยผู้ป่วยควบคุมชีวิตประจำวันด้วยการจัดการแบบครบวงจร ตั้งแต่การวัดระดับน้ำตาล การจดบันทึกดิจิทัล ไปจนถึงการออกแบบแผนการรักษาเฉพาะตัว ซึ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย และช่วยให้ตัดสินใจในการรักษาได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีตรวจเบาหวานแบบ iPDM และ CGM ช่วยให้ผู้ป่วยในประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถเชื่อมโยงการสนับสนุนจากแพทย์เข้ากับการจัดการในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยมีเวลาที่ระดับน้ำตาลอยู่ในช่วงที่ปลอดภัยมากขึ้น ลดเวลาที่น้ำตาลต่ำ และลดโอกาสเกิดภาวะน้ำตาลต่ำรุนแรง แต่ในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง (LMICs) การนำ iPDM มาใช้ยังถูกจำกัดจากทรัพยากรที่จำกัด บุคลากรผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงพอ และขาดประสบการณ์ในการปฏิบัติในระบบสุขภาพจริง

บางโครงการนำร่องในประเทศ LMICs พบว่า เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถลดช่องว่างของความรู้และการนำไปใช้ได้จริง ทำให้การประสานงานด้านการรักษาระหว่างทีมสหสาขาวิชาชีพมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังประหยัดงบประมาณอีกด้วย ตัวอย่างในประเทศไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ศึกษาประสิทธิภาพของการดูแลผ่านระบบทางไกล พบว่าผู้ป่วยที่ใช้เทคโนโลยีสามารถควบคุมน้ำตาลได้ดีกว่ากลุ่มที่จดบันทึกด้วยกระดาษ ทั้งในระยะ 12 และ 24 สัปดาห์


รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ เลขาธิการสมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “หลายประเทศ รวมถึงไทย กำลังเผชิญวิกฤตเบาหวาน มีผู้ป่วยจำนวนมากยังไม่ได้รับการวินิจฉัย โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือกลุ่มเปราะบาง การขาดแคลนเครื่องมือและยาใหม่ๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ โครงการนำร่องแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีอย่าง CGM และแอปการจัดการภาวะเบาหวานสามารถยกระดับการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและควบคุมโรคได้ดีขึ้น หากเราเร่งลงทุนและขยายการเข้าถึง เทคโนโลยีเหล่านี้จะเชื่อมโยงความรู้ทางการแพทย์กับชีวิตจริง ทำให้ผู้ป่วยจัดการโรคได้ด้วยตนเองและมีสุขภาพที่ดีขึ้น”

อีกกรณีศึกษาจากอินเดียที่ Jothydev’s Diabetes Research Centre ได้ใช้ระบบดูแลเบาหวานทางไกล (DTMS) ด้วยการติดตามระดับน้ำตาลและการโค้ชแบบเฉพาะบุคคล โดยใช้งบเพียงเดือนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการดูแลที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และคุ้มค่าต่อการลงทุน

เฉพาะในประเทศไทย กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) รวมถึงเบาหวาน ก่อให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจสูงถึงเกือบ 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 9.7% ของ GDP ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่สะท้อนถึงชีวิตจริงของผู้ป่วยและครอบครัวที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในแต่ละวัน ดังนั้นทุกคนควรมีโอกาสในการเข้าถึงสุขภาพที่ดี และมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง

...