“ปวดหลัง ปวดเอว ปัสสาวะขัด มีเลือดปน” หลายคนอาจไม่คิดว่านี่คือสัญญาณเตือนของ “นิ่วในไต” โรคยอดฮิตที่คนไทยเป็นกันมากขึ้นทุกปี เพราะพฤติกรรมการดื่มน้ำน้อยและชอบทานเค็ม “นิ่วในไต” คือ ก้อนผลึกแข็งที่เกิดจากสารต่าง ๆ ในปัสสาวะ เช่น แคลเซียม ออกซาเลต กรดยูริก จับตัวรวมกันจนเป็นผลึกอยู่ในไต และเมื่อก้อนนิ่วหลุดลงไปในท่อไต เกิดการอุดตัน จะทำให้ปวดอย่างรุนแรง
สาเหตุ
สาเหตุของนิ่วในไตที่พบบ่อย ได้แก่ การดื่มน้ำน้อย เสียเหงื่อหรืออาศัยอยู่ในที่อากาศร้อน การบริโภคอาหารเค็มจัด โปรตีนสูง หรืออาหารที่มีออกซาเลตสูงเกินไป เช่น ผักโขม บีทรูต ถั่วลิสง อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ชา โกโก้ ช็อกโกแลต นอกจากนี้การกินวิตามินซีเกิน 2 กรัมต่อวัน เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ รวมถึงการมีโรคประจำตัว เช่น ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานเกิน
อาการน่าสงสัย
ปวดหลัง ปวดเอวด้านใดด้านหนึ่งหรือร้าวลงช่องคลอดหรืออัณฑะ ปัสสาวะขัด หรือมีเลือดปน
คลื่นไส้ อาเจียน เมื่ออาการรุนแรง บางรายมีไข้ หากเกิดการติดเชื้อร่วมด้วย
การวินิจฉัย
แพทย์จะซักประวัติ ตรวจปัสสาวะ และอาจตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ หรือเอกซเรย์ (X-ray) หรือ CT Scan เพื่อดูตำแหน่งและขนาดของก้อนนิ่ว
การรักษา
1. ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยขับนิ่วออกในกรณีที่ก้อนเล็ก
2. ใช้ยาละลายนิ่ว หรือยาต่อมลูกหมากบางชนิดเพื่อทำให้นิ่วที่อยู่ในท่อไตส่วนล่างหลุดได้ง่าย
3. การสลายนิ่วด้วยคลื่นเสียง (ESWL) สำหรับนิ่วขนาดกลาง
4. ผ่าตัดหรือส่องกล้อง เช่น URSL หรือ PCNL ในกรณีที่นิ่วขนาดใหญ่
ป้องกันได้ไม่ยาก ทำได้ดังนี้
1. ดื่มน้ำวันละ 6–8 แก้ว หรือมากกว่าในวันที่อากาศร้อน
2. ลดอาหารเค็ม และอาหารที่มีออกซาเลตสูง
3. ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นนิ่วมาก่อน
“นิ่วในไต” อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่ถ้าไม่ดูแลอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ อย่ารอให้เจ็บหนัก ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ และหากสงสัยควรรีบพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ
แหล่งข้อมูล
รศ. นพ.ชินเขต เกษสุวรรณ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
...